ภาษาเวร
สุภัททา
ปิณฑะแพทย์
(ครูขาว)
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวเสียก่อนว่า คำว่า ภาษาเวร
นี้ฉันไม่ได้ต้องการที่จะนำมาใช้ให้มีความหมายในเชิงหยาบคายแต่อย่างไร
เพราะคนที่มีอาชีพเป็นครูอย่างฉันนี้
จะพูดจะจาอะไรก็ต้องระงับปากระงับคำดีอยู่แล้ว
ไม่เช่นนั้นก็อาจจะเผลอเอาปากไปงับกัดใครเขาเข้า ตัวเองก็จะเดือดร้อน
ยิ่งถ้าบังเอิญไปงับคนที่กำลังเป็นบ้า
ดีไม่ดีเราอาจต้องฉีดยากันบ้าเจ็บตัวฟรีไปก็ได้
แต่อย่างไรก็ตามฉันต้องขอกล่าวเน้นย้ำอย่างหนักแน่นว่าคำว่าภาษาเวรที่ฉันนำมาใช้นี้ฉันไม่ได้ตั้งใจจะงับกัดใครเลยจริง
ๆ
ฉันเพียงแต่จะตั้งชื่อเรื่องให้สอดคล้องกับการใช้ภาษาในการบันทึกเหตุการณ์ของเวรเท่านั้น
และอีหนึ่งก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันในเรื่องเวรกันเสียหน่อยว่า เวร
ใช้คู่กับกริยา การเข้า การอยู่ หรือการเป็น
และเวรก็คือหน้าที่ประจำชาติของข้าราชการทุกคน ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ดังนั้นทุกหน่วยราชการจึงมีหน้าที่ต้องจัดการให้ทุกคนมีเวรให้เป็น
เรื่องเป็นราว การจัดเวรสามารถจัดทำกันได้มากมายหลายวิธี
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำไม่ได้และไม่ควรทำ คือการจองเวร เพราะมันบาป
ที่สถาบันของฉันก็มีวิธีการจัดเวรที่ค่อนข้างจะสุขุมราบเรียบแบบสบาย ๆ
ตามสไตล์ของเรา
เริ่มต้นด้วยวิธีการกระจายรายชื่อแบบเรียงเบอร์ตามตัวอักษรและพยัญชนะ
จัดแทรกไปตามวันและเวลาในช่วงปี มีให้เลือกจัดหลายชุด มีทั้งชุดวันธรรมดา
ชุดวันหยุด ชุดกลางวัน ชุดกลางคืน
และยังแถมพกด้วยชุดเฉพาะกิจในยามที่มีข้อสะดุดจิต สะกิดใจ เกิดขึ้น
ซึ่งคำสั่งเหล่านี้ก็พร้อมที่จะถูกพริ้นต์ออกมาเป็นระยะ ๆ ตามความเหมาะสม
มีทั้งคำสั่ง ของอาจารย์ ของคนงาน ของภารโรง ของเจ้าหน้าที่
ของพนักงานตามสายงานต่าง ๆ
การออกคำสั่งในแต่ละครั้งแต่จะปีก็ไม่มีพิธีอะไรมาก เพียงแค่เอาคำสั่งเก่า ๆ
มาพลิกซ้ายทีขวาที แล้วก็เอาชื่อคนปลดเกษียณออก
เอาชื่ออาจารย์บรรจุใหม่ใส่เข้าไปแทนที่ ถ้ายังไม่พอ หรือ
ในข่วงนั้นไม่มีอาจารย์ใหม่หลุดเข้ามา ก็ให้ใช้วิธีเขย่าไม้ติ้ว
ชื่อใครหล่นลงมาก็จะได้รักชาติเพิ่มขึ้น อีกหนึ่งวัน
จากนั้นก็เอาวันและเวลาเดิมคงไว้ เปลี่ยนแต่ พ.ศ.
ก็จบเรื่อง สำหรับเวรชุดอื่น ๆ ก็จะใช้วิธีการจัดแบบเดียวกัน
ความจริงวิธีการเช่นนี้เราก็ใช้อยู่กันมาได้ตั้งนานด้วยความสงบสุข
ถ้าไม่เป็นเพราะเพื่อนของฉันคนหนึ่งเข้ามาโวยวายขอเวลานอกเพื่ออภิปรายเรื่องวิธีการจัดเวรของสถาบันขึ้นมา
ด้วยท่าทางที่เอาเรื่องของเธอทำให้ฉันเกิดอาการหวั่นวิตก
ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
ด้วยความเสียดายของเก่าและเกรงว่าการโวยของเพื่อนจะทำให้กรรมวิธีในการจัดเวรที่เคยปฏิบัติกันมาหลายชั่วอายุคนจะต้องล่มสลาย
จึงพยายามอธิบายให้เห็นภาพของการจัดการพร้อมทั้งเน้นให้เห็นถึงความยากลำบากในการจัดเวรตามที่ได้สืบรู้มาดังกล่าวข้างต้นยังได้กล่าวเป็นเชิงนำความคิดว่า
ส่วนใหญ่ทุกคนก็สงบเสงี่ยมเจียมตัวไม่กล้าโวย
ดังนั้นถ้าเธอจะโวยละก็ต้องคิดให้ดี
เพราะการโวยจะทำให้ถูกกล่าวหาว่าไม่รักชาติและรักตัวเองแล้วคำสั่งน่ะ
ไม่ใช่จะเปลี่ยนได้ง่าย ๆ นะ
ต้องนำมาเปิดในเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วทำพฤติกรรมที่เรียกว่า ไฮเทค
จึงจะเปลี่ยนแปลงได้
แต่ไม่ว่าฉันจะพยายามไกล่เกลี่ยให้เธอยอมความอย่างไรก็ไม่สำเร็จ เธอนั่งยัน
ยืนยันว่า ต้องโวย เธอเล่าว่ามีอย่างหรือ ให้เธอมาเป็นเวรคู่กับอาจารย์
ท่านหนึ่งที่สิ้นชีวิตไปแล้ว
ปีแรกเธอก็ไม่ว่ากระไร เพราะท่านเสียชีวิตไป
หลังจากที่คำสั่งได้ออกมาแล้วแต่นี่มันเป็นรอบปีที่
3
แล้วนะ
ชื่ออาจารย์ท่านนั้นก็ยังคงอยู่ ซึ่งเธอก็เกรงว่า
ชื่อนั้นจะอยู่คู่กับเธอแบบชั่วฟ้าดินสลายโดยไม่มีการปลดเกษียณไปเสียทีเธอเล่าต่ออีกว่าเมื่อปีที่แล้วเเธอต้องมาอยู่เวรในวันหยุด
ทั้งสถาบันมีเธอกับอาจารย์ท่านที่ตายแล้วอยู่ด้วยกันสองคนเท่านั้น
บรรยากาศก็ดูเงียบวังเวงวิเววิโหวเหวว จนทำให้เธอเกิดอาการหวาดกลัวขึ้นมา
แต่เธอก็หัวไวคิดได้ว่าน่าจะลองเปิดดูชื่อคนงานที่เป็นเวรคู่กับเธอในวันนั้นซิว่าเป็นใคร
พอที่จะอุ่นใจเรียกหาได้หรือไม่ แล้วเธอก็แทบจะช๊อคเมื่อพบโดยบังเอิญว่า
คนงานที่มีชื่อเป็นเวรในวันนั้นก็คือคนงานที่สิ้นชีวิตไปก่อนหน้าอาจารย์ท่านนั้นเสียอีก
แล้วจะไม่ให้เธอโวยได้อย่างไร เธอกล่าวด้วยเลือดนักสู้ว่า
จะต้องสู้กันแบบหักลิ้นช้างกันสักตั้ง
ไม่ใครก็ใครก็ต้องลิ้นหักกันไปข้างหนึ่ง เพราะเธอจะไม่ยอมอีกแล้ว เฮ้อ
ก็น่าเห็นใจทั้งคนทั้งผีที่หนีเวรไม่พ้น
พูดถึงเรื่องการเป็นเวรในวันหยุดแล้วก็ทำให้เกิดอาการคล้อยตามว่ามันมีความเงียบเหงา
วังเวงและสันโดษจริง ๆ หลายคนก็มักจะบอกว่า ไม่ต้องทำอะไรมากนักหรอก
โฉบมาลงชื่อแล้วก็โฉบกลับก็พอดีหมดวัน
นั่นก็หมายความถ้าคุณโฉบดีก็เป็นวันดีไป ถ้าคุณโฉบไม่ดีมีหวังเป็นวันซวย
เพราะเพื่อนของฉันที่ไม่ใช่วันดีคนหนึ่ง
โดนถูกสอบสวนและคาดโทษมาแล้วเนื่องจากคอมเพรสเซอร์แอร์ตัวโต ๆ หาย
แล้วคอมพิวเตอร์ตัวเล็ก ๆ มากมายที่เรียงรายอยู่ตามที่ต่าง ๆ
ในสถาบันจะไม่มีวันหายรึถ้ามัวแต่โฉบไปก็โฉบมา
แต่การที่ฉันไม่โฉบไปมาแถมนั่งอยู่กับที่นี้เองทำให้ฉันได้พบวรรณกรรมชิ้นใหญ่ในสมุดจดบันทึกเวร
ซึ่งเป็นวรรณกรรมที่หลากหลายรสชาติของคน
อยู่เวรที่พยายามบรรจงสร้างสรรค์กันขึ้นมาเพื่อบ่งบอกความเป็นตัวตนของผู้บันทึกเวร
ด้วยเวลาว่างที่มีฉันจึงค่อย ๆ
เปิดอ่านที่ละบันทึกพร้อมทั้งคัดลอกบางส่วนมาเพื่อทดสอบเพื่อนฝูงว่าจะสามารถทายได้ถูกต้องหรือไม่ว่าบันทึกนั้นเป็นบันทึกของอาจารย์ที่สังกัดการสอนอยู่ภาควิชาใด
ข้อความแรกที่น่าสนใจบันทึกไว้ว่า
"
วันนี้มียานพาหนะวิ่งเข้ามาในสถาบัน
16
คัน เป็นรถกระบะ
7
คัน คิดเป็นร้อยละ
....
เป็นรถยนตร์ส่วนตัว
5
คัน คิดเป็นร้อยละ....
เป็นรถยนต์รับจ้าง
2
คัน คิดเป็นร้อยละ....เป็นรถมอเตอร์ไซด์
2
คัน คิดเป็นร้อยละ...มีคนเดินเข้าออก
12
คน เป็นเด็ก
2
คน ผู้ใหญ่ปานกลาง
4
คน นอกนั้นเป็นผู้ใหญ่มาก และ..
ฯลฯ"
เพื่อนคนหนึ่งรีบตะโกนบอกด้วยความมั่นใจว่า
ต้องเป็นอาจารย์อยู่ภาควิจัยและการทดสอบแน่นอน
คำตอบข้อนี้เรียกเสียงเฮได้พอสมควร เพื่อน ๆ เริ่มเป็นไทยมุง
ฉันจึงบรรเลงต่อด้วยข้อความคัดเลือกที่สองที่บันทึกไว้ว่า
"วันนี้เป็นวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆหมอก
มีลมพัดพาเพียงบางเบา น้ำในคลองก็เงียบนิ่ง
ผู้คนที่เคยเดินขวักไขว่ไปมาในวันที่มีการเรียนการสอนก็ลับหายไปจากสายตา
เหตุการณ์อื่น ๆ โดยทั่วไปดูเงียบสงบ...ดังเช่นน้ำในคลอง........."
มีคนแย่งตอบว่าคนนี้ต้องเป็นอาจารย์ภาษาไทยแน่ ๆ
...เสีงเฮดังขึ้น.....
หลายคนพยักเพยิดเห็นด้วย ฉันเองก็รู้สึกว่ารายการนี้สนุกไม่เบา
จึงต่อด้วยข้อความคัดเลือกที่สาม ที่เจ้าของบันทึกไว้ว่า
"วันนี้มีเหตุการณ์ที่ไม่สงบเกิดขึ้น
เนื่องจากได้สังเกตพบว่ามีนักศึกษากลุ่มใหญ่เข้ามาในสถาบันทั้ง ๆ
ที่วันนี้เป็นวันหยุดราชการ
คิดว่านักศึกษาคงจะต้องนัดกันมาทำพฤติกรรมบางประเภท
เนื่องจากพฤติกรรมทุกชนิดต้องมีสาเหตุ
แต่สาเหตุเหมือนกันก็อาจทำให้เกิดพฤติกรรมที่ต่างกันได้.......
"
มีผู้เดาว่าอาจารย์เวรคนนี้ต้องเป็นนักจิตวิทยาแหง ๆ
หลายคนทำหน้าทำตาเห็นพ้องต้องกันเป็นอย่างดี พร้อมทั้งตะโกนบอกให้ฉัน
อ่านบันทึกบทต่อไปเร็ว ๆ เพราะชักจะมัน ฉันอ่านข้อความคัดเลือกที่สี่
ซึ่งบันทึกไว้ว่า
"....จากประกาศที่สถาบันได้กำหนดให้มีการจอดรถในที่ที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัดแต่ก็ปรากฎว่ายังมีผู้ฝ่าฝืนอยู่เนือง
ๆ
แม้ว่าจะได้กำหนดโทษไว้แล้วก็ตามก็ยังไม่มีการเข็ดหลาบจึงควรที่จะแก้ไขกฎหมายของสถาบันมาตราที่
7
ทวิ ให้เพิ่มโทษ......
"
ยังไม่ทันที่ฉันจะอ่านข้อความจบเพื่อนคนหนึ่งก็รีบตอบว่า รู้แล้ว รู้แล้ว
ต้องเป็นอาจารย์ภาครัฐศาสตร์และกฎหมาย
จากข้อความทั้งสี่บันทึก เพื่อนตอบได้อย่างไม่มีการผิดพลาดแม้แต่น้อย
ทำให้ฉันปลื้มใจในความชาญฉลาดของเพื่อน ๆ มาก แต่ฉันหรือจะยอมแพ้
จึงงัดข้อความคัดเลือกที่ห้า ออกมาให้เพื่อนทายต่อไปอีก
ดังนี้
"เกิดเป็นคนอย่าเห็นแก่ตนแหละดี
ถึงจะมีร่ำรวยสุขสันต์ จนหรือมีถ้าเป็นเวรเหมือนกัน
ขอให้มาช่วยกันอย่าให้ฉันมาคนเดียว เกิดมา........
.."
ฉันหยุดอ่านเพราะเริ่มสังเกตเห็นความเงียบที่ครอบคลุมไปทั่วบริเวณ
แทนเสียงคิดคักซึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ พร้อมทั้งมีคนเดินจากฉันไปทีละคนสองคน
อาจารย์คนหนึ่งโพล่งออกมาอย่างหัวเสียว่า
"เฮ้ย
มีการฟ้องท่านอธิการบดีในบันทึกด้วยหรือ(วะ)"
แล้วก็รีบเดินออกไปอย่างหัวเสีย
มีเสียงบ่นพึมพำกล่าวหาว่าฉันเอาอะไรมาเล่นก็ไม่รู้ เป็นเรื่องเป็นราวจนได้
ฉันเองก็เป็นงงอยู่ ก็ยังชมฉันอยู่หลัด ๆ ว่าเล่นดี แล้วไหงมาแปรเปลี่ยนเป็นโกรธขึ้งไม่พอใจไปได้
แล้วตัวเองก็ไม่ได้กินปูนสักหน่อยแล้วทำไมต้องร้อนท้องด้วยล่ะ
หรือว่าฉันงับกัดเพื่อนเข้าให้อีกแล้วโดยไม่รู้ตัว ก็ให้มันได้อย่างงี้ซิ
ไอ้ภาษาเวร |