คิดอย่างครู
ทำอย่างครู
ด้วยคุณธรรมนำชีวิต
คำว่าคุณธรรมเป็นคำที่มีความหมายสำหรับการเป็นมนุษย์เป็นอย่างยิ่งเพราะถ้ามนุษย์ไม่มีสิ่งนี้คู่กับตน
มนุษย์ก็จะไม่ต่างไปจากสัตว์เดรฉานที่ดำรงชีวิตอย่างขาดการควบคุมให้มีคุณภาพ
การสร้างคุณธรรมให้เกิดขึ้นในจิตใจจึงเป็นการพัฒนาตนของมนุษย์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ตอบสนองความต้องการทางด้านจิตใจของมนุษย์ทำให้ตนเองมนุษย์มีความเกิดความรู้สึกสบายและเป็นสุขเพื่อทำให้ผู้อื่นที่อยู่รอบข้างมีความสบายและเป็นสุขเพราะเมื่อบุคคลอื่นมีความสุขก็จะทำให้บุคคลที่อยู่ใกล้ชิดมีความสงบสุข
มีผู้หวังดีเขียนติดไว้เป็นวรรณกรรมในห้องน้ำว่า
"ขาดน้ำเหมือนขาดใจ
ขาดอะไรเหมือนขาดความเป็นคน"
คำตอบก็คือ
ขาดคุณธรรม
โดยเฉพาะคนที่อยู่ในอาชีพครู
คุณธรรมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
เพราะเป็นอาชีพที่ต้องรับผิดชอบให้เยาวชนของชาติได้เกิดการเรียนรู้และมีจิตสำนึกของความเป็นคน
การที่คนจะเกิดจิตสำนึกของความเป็นคนและเป็นผู้ที่มีคุณธรรมได้ดังนั้นจะต้องผ่านกระบวนการการอบรมในเรื่องความคิดและต้องคิดดีด้วย
ความคิดที่ดีคือคิดอย่างมีคุณธรรม
ก่อนจะฟังคำบรรยายต่อไปต้องขอให้คุณครูทั้งหลายมาตกลงกันว่า
พวกเราเห็นด้วยหรือไม่ว่าคนเป็นครูต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมและความคิดที่ดีคือความคิดที่ที่มีคุณธรรมเป็นตัวนำและกำกับ
และถ้าครูทุกคนยอมรับในสองข้อนี้
การบรรยายจึงจะมองเห็นภาพของความจำเป็นในการพัฒนาครูให้มีคุณธรรมได้
เพราะถ้าครูไม่เชื่อในสองข้อนี้ก็คงไม่มีประโยชน์ที่จะพูดแนวปฏิบัติในขั้นต่อไป
เมื่อทุกคนเห็นชอบและกล่าวคำยืนยันแล้ว
ขอให้มาลองสำรวจความคิดของตนเองว่า
เรามองเห็นภาพของบุคคลที่มีคุณธรรมในความคิดว่ามีลักษณะอย่างไร
ในฐานะที่เป็นครู
ภาพที่ต้องการให้ผู้อื่นมองเห็นตัวเรานั้นเป็นอย่างไร
เราอยากจะเป็นให้ได้อย่างที่มองเห็นภาพนั้นหรือไม่
เชื่อว่าครูทุกคนต้องการเป็นอย่างภาพที่สร้างไว้ในใจ
และเชื่อว่าภาพที่สร้างไว้นั้นต้องงดงาม
คงไม่มีผู้ใดที่สร้างภาพตนเองเป็นผู้ร้ายเพราะทุกคนในโลกนี้ต้องการมีภาพที่ทำให้ตนเองดูดีและสวยงามในสายตาของตนเองและผู้อื่น
โรเจอร์ส์นักทฤษฎีมนุษยนิยมกล่าวไว้เช่นนั้น
ไม่มีใครยอมรับว่าตนเองเป็นคนเลวทำสิ่งที่เลว
จนกว่าจะได้ต่อสู้ป้องกันตนเองพร้อมทั้งกล่าวโทษผู้อื่นที่ทำให้เราเป็นคนไม่ดีเสียก่อนและก็มักจะจนด้วยหลักฐาน
การเป็นคนมีคุณธรรมนั้นบางคนอาจจะเสแสร้งทำขึ้นมาเพื่อตบตาผู้อื่นทั้ง
ๆ
ที่ตนเองไม่ทำด้วยความจริงใจ
แต่เขาคงทำได้ไม่นานเพราะคนที่คิดอย่างหนึ่งแต่
ทำอีกอย่างหนึ่งแถมยังพูดอีกอย่างหนึ่งด้วยจะเป็นคนที่มีความขัดแย้งในจิตใจอย่างหนัก
จะมีความรู้สึกว่าเหนื่อยมาก
ลองคิดว่าเราไม่ชอบคนนี้เลยแต่ต้องฝืนทำดีทำเป็นรักใคร่ชอบพอและพูดดีด้วย
จะรู้สึกว่าเหนื่อยและขัดใจจนในที่สุดทนทำต่อไปไม่ได้
ในทำนองเดียวกันคนที่ไม่รักและศรัทธาในอาชีพของตนเอง
แต่ต้องสอน
ต้องสั่ง
ต้องพูดต้องบอกต้องดูแลเอาใจใส่
แสดงความรักเอื้ออาทร
ก็จะรู้สึกว่าเหนื่อยมากกว่าครูที่รักและศรัทธาในอาชีพ
เพราะในความเหนื่อยนั้นมีความสุขอยู่ด้วยจึงทำให้ได้พลังเพิ่มขึ้นมาทดแทน
ครูที่ไม่รักไม่ชอบการเป็นครูก็จะรู้สึกฝืนทนไม่มีความสุขกับหน้าที่ที่ตนต้องทำ
จะรู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจที่เห็นหน้าเด็ก
ๆ
ที่มารอให้ครูสอน
หรือมายุ่งวุ่นวายให้ช่วยเหลือ
ความเหนื่อยจะเป็น
2
เท่าเพราะมีความเครียดเนื่องจากทุกข์ใจรวมอยู่ด้วย
ครูที่มีอาการเช่นนี้
คือครูที่ไม่เพียงแต่ทำร้ายเด็กเท่านั้นเขายังทำร้ายตนเองอีกด้วย
ตอนนี้ครูที่รู้ตัวว่ากำลังทำร้ายตนเองและนักเรียนอยู่จงห้ามตัวเองและ
บอกตัวเองว่าหยุดเสียทีเถอะอย่าทำร้ายตัวเราเองเลย
ขอให้ครูคิดและพิจารณาตนเองในหัวข้อต่อไปนี้
-
เราพอใจในอาชีพนี้หรือไม่
และเราเหมาะกับอาชีพนี้หรือไม่
มีหลายคนที่โกรธเมื่อมีคนมาคอยเพ่งเล็งครูไม่ให้ทำผิด
ซึ่งที่จริงแล้วเป็นความดีของเขาที่ช่วยเราดูแลตัวเรา
แม้ความจริงครูจะเป็นปุถุชนธรรมดา
ย่อม
มีโลภ
โกรธ
หลงได้
แต่เพราะเราเลือกที่จะเป็นครู
เหมือนผู้ชายที่เลือกจะบวชเป็นพระ
เพราะทันทีที่บวชเป็นพระก็คือยอมรับว่าต้องปฏิบัติตนตามวินัยสงฆ์อย่างเคร่งครัด
ครูก็เช่นกันทันทีที่เรียกตนเองว่าครูก็ถือว่าบวชเป็นครูแล้ว
ก็ต้องถือธรรมวินัยของครูไว้อย่าให้ขาด
แต่ธรรมวินัยครูไม่เหมือนธรรมวินัยของพระเพราะยังคงไม่มีบทบัญญัติที่ตายตัว
แต่ที่รู้พบว่ามีหลายร้อยข้อไม่แพ้ธรรมวินัยของสงฆ์เช่นกัน
และที่พิเศษไปกว่านั้นก็คือ
มักจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยโดยผู้ประสงค์ดีแต่งจรรยาบรรณให้ครูจนครูเกือบกลายเป็นเทวดาแล้ว
ไม่เชื่อลองเปิดอ่าน
จรรยาบรรณสำหรับครู
มีคนช่วยกันคิดช่วยกันเขียนเสียจนจำไม่ไหว
ถามว่าดีไหม
ตอบว่าดีถ้าทำได้ทุกข้อ
แต่เนื่องจากจำไม่ไหว
ก็เลยไม่จำ
จำไม่ได้ก็เลยทำตัวตามสบาย
สุดท้ายก็ไร้จรรยาบรรณ
มีคนบอกว่าบางคนจำได้หมดทุกข้อแต่ไม่ได้ทำ
ก็ต้องถามกลับไปว่าแล้วจะจำให้เปลืองเนื้อที่สมองทำไม
สำหรับคนที่จำไม่ได้แต่อยากทำในที่นี้จะขอแนะนำว่า
ให้จำ
4 คำนี้ไว้
เพราะคงไม่ยากที่จะจำ 4
คำนี้คือ
ศีล
สติ
ปัญญา
กับ
พรหมวิหาร
4
และรักษาไว้ให้ได้
วิธีรักษาศีลทำอย่างไร
มีคนถามมาก
รักษากี่ข้อดี
แค่ศีล
5 พอไหม
แล้วฆ่ามดฆ่าแมลงสาปตาย
ผิดศีลครูหรือเปล่า
บางคนรักษาศีลเคร่งมาก
แต่กลับเผลอโกหกตัวเองโกหกนักเรียน
ถ้าเด็กถามมากบางทีถามในสิ่งที่ไม่รู้จะบอกว่าไม่รู้ก็ไม่ได้กลัวเสียหน้าต้องบอกว่ารู้แต่ครูไม่บอก
ไม่รู้แล้วบอกว่ารู้
และพาลดุเด็กที่ถามดีนัก
ครูคนนั้นผิดศีลทีเดียวสองข้อเลย
หมอ
ตรวจอาการคนไข้หนัก
บอกไปเลย
ต้องตายภายใน
3 วัน
7 วัน
เพราะหวังดีว่าคนไข้จะได้เตรียมพินัยกรรมให้เสร็จก่อนตาย
แต่คนไข้ชักตายไปเลยต่อหน้าก็มี
ครูอาจจะดื่มเหล้าบ้างในงานเลี้ยงแต่ไม่ใช่ดื่มจนขาดสติ
แต่พระดื่มไม่ได้แน่
ๆ
มีข้อปฏิบัติแจงไว้ว่าจะดื่มได้ต้องเป็นยาดอง
พระเลยฉลองเสียเมา
ผิดศีลแน่นอน
สำหรับข้อกาเม
ต้องหยุดไปเลยทั้งครูทั้งพระไม่มีข้อยเว้น
เพราะเรื่องนี้จึงทำให้เกิดคดีฉาวกันมากเป็นอันดับท็อปฮิต
ให้ท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจว่า
ไม่ตายดอกเพราะอดเสน่หา
ครูคือคน
ครูย่อมต้องการความสุขในการดำรงชีวิตทั้งทางด้านร่างกายและจิต
จึงต้องมีเทคนิคในการรักษาศีลว่าจะทำได้อย่างไรโดยไม่ต้องท่องจรรยาบรรณเพราะมากทบทวนไมาไหว
ข้อเสนอแนะที่นายแพทย์บุญเลิศ
จุลเกียรติ์
ได้กล่าวไว้ว่า
การรักษาศีลง่ายมาก
เพราะวิธีรักษาคือการคิดก่อนทำ
นั่นคือให้คิดว่าถ้าทำแล้วตนเองจะมีความสุขหรือไม่
และผู้อื่นจะเดือดร้อนหรือไม่
นั่นคือขั้นพื้นฐาน
ถ้าทำแล้วตนเองมีความสุขและผู้อื่นก็ไม่เดือดร้อนก็แสดงว่ารักษาศีลได้แล้ว
แต่ถ้าจะให้ดีไปกว่านั้นอีก็ต้องถามต่อไปว่า
ผู้อื่นจะมีความสุขกับเราหรือไม่
คนกินเหล้าเมาแต่อยู่ในห้องของตนเอง
เมาหลับไปก็คงไม่เสียหายอะไร
แต่ถ้าตื่นไม่ทันไปทำงานหรือเกิดอาการเมาค้างทำให้หน้าที่การงานเสีย
ครอบครัวเดือดร้อนก็น่าจะเรียกว่าผิดศีล
หรือครูไม่ดีก็จะทำร้าย
นักเรียนให้มีแต่ความเดือดร้อน
ตัวครูเองก็จะไม่มีความสุขเพราะอาจโดนตัดเงินเดือนหรือไล่ออกได้
การที่จะรักษาศีลให้มั่นคงต้องมีสติ
เรื่องสตินี้คงไม่ต้องพูดมาก
คนสติไม่ดีเขาคงไม่ให้มาเห็นครู
เชื่อว่าทุกคนในที่นี้คงสติดี
สติที่ว่าดีนั้นต้องเป็นสติที่อยู่กับตัวเราบางคนบอกว่าสติดีแต่ตอนนี้ไม่อยู่กับตัวแสดงว่าสติไม่มี
สติตัวนี้โยงไปถึงปัญญา
คนไม่มีสติจะคิดอะไรไม่ออก
มีคนมักจะพูดบอกเราว่าให้สงบสติไว้อย่าให้ฟุ้งหายไป
สติเป็นตัวที่จับยากมาก
จนต้องมีการฝึกสติ
ต้องมีการจับเอาไว้
การที่เขาให้ฝึก
ยุบ
ๆ
หนอ
ก็เป็นวิธีการจับสติอยู่กับตัววิธีหนึ่ง
เมื่อกล่าวถึงเรื่องมีปัญญา
สิ่งหนึ่งที่ครูไม่ควรมีคือความโง่
ไม่ว่าในกรณีใดๆ
เพราะการมีครูโง่ทำให้ประเทศชาติไม่เจริญ
เพราะครูทำร้ายคนเรียนมากกว่า
การที่ครูจะไม่โง่
มีทางเดียว
คือต้องใฝ่รู้เพื่อให้รู้เท่าทัน
ครูโง่ประเทศชาติไปไม่รอดแน่
การเป็นคนใฝ่รู้
คือศึกษาค้นคว้า
ตาดู
หูฟัง
มือเขียน
สมองคิด
จิตเป็นกุศล
เข้าใจสถานการณ์และสิ่งที่ควรรู้อย่างแท้จริง
อย่าเป็นคนที่กึ่งรู้
กึ่งไม่รู้
แล้วอวดรู้
การวิเคราะห์ไตร่ตรองให้ถึงเหตุถึงผลจะทำให้เกิดอำนาจของการคิดแก้ปัญหาได้
สิ่งที่สำคัญมากที่สุดคือ
ธรรมะสำหรับครู
พรหมวิหาร
4 ที่ประกอบด้วย
ความเมตตา
อยากเห็นผู้อื่นมีความสุข
ถ้ามีเมตตาก็จะทำใจได้เมื่อผู้อื่นได้ดี
ลองสำรวจตัวเราก็ได้ว่าเมื่อรู้ว่าเพื่อนได้เลื่อนขั้นเงินเดือนมากกว่าเราเรารู้สึกอย่างไร
พอ
2 ขั้นออก
เราทำได้ใจไหม
คนมีเมตตาจะมองทุกอย่างเป็น
บวก
Positive Regards
การมองอะไรให้เป็นบวกมีความสุข
ถ้ามองอะไรก็ลบไปหมด
ก็จะรู้สึกเหนื่อย
เมื่อวานกับวันนี้วันไหนมองแล้วบวกกว่ากัน
หรือว่ามองแล้วลบทั้ง
2 วัน
รับรองว่าพรุ่งนี้คุณครูคงแทบจะลุกขึ้นมาสอนหนังสือไม่ไหว
ความจริงความสุขสามารถแสวงหาได้จากการรับรู้ความสุขของผู้อื่นแล้วสุขกับเขา
ถ้าผู้อื่นมีความสุขแล้วเราไม่รู้สึกเป็นสุขไปกับเขาแสดงว่ากำลังมีจิตใจเป็นอกุศล
เช่นอิจฉาริษยา
ซึ่งทำให้ตัวเราเองเริ่มไม่มีความสุข
ถ้าจะให้ตนเองมีสุขก็ต้องทำให้รู้สึกสุขตามไปด้วย
ตามธรรมดาแล้วคนเราเมื่อเห็นภาพที่เศร้า
เช่นภาพคนเจ็บป่วย
หรือคนประสบภัยพิบัติหรือสูญเสีย
เราก็จะรู้สึกเศร้าไปด้วย
แม้บางครั้งจะบอกตนเองว่ารู้สึกว่าดีใจและมีความสุขก็เป็นการหลอกตนเองเท่านั้น
ดังนั้นการที่จะรู้สึกว่าเศร้าใจเพราะคนอื่นมีความสุข
ก็จะยิ่งเป็นการให้โอกาสแก่ตนเองที่จะได้รับความสุขน้อยมากในชีวิตนี้
ความกรุณา
คือความอยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์
ทุกคนในประเทศพ้นทุกข์
คงไม่มีโจรผู้ร้าย
คนเป็นโจรต้องเป็นคนที่มีความรู้สึก
ต่าง
ๆ
ที่รวมแล้วเรียกว่าทุกข์อยู่ในใจ
การที่ต้องการให้คนอื่นพ้นทุกข์
ทำได้ด้วยการให้
ให้ในที่นี้คือการแบ่งปันกันบ้าง
อย่าเป็นคนที่ตระหนี่
เห็นแก่ตัว
กอบโกยความสุขเข้าตัว
ร่ำรวยอยู่คนเดียว
คนรอบข้างไม่มีจะกิน
คนนั้นคงอยู่ได้ไม่นานการเพราะคนที่ไม่มีกินก็จะต้องทำร้ายเขา
มีเรื่องเล่าว่ามีชาย 2
คนหลงป่า
ชายคนหนึ่งบังเอิญมีอาหารเหลืออยู่นิดหน่อย
เมื่อยามหิวก็อยากจะกินคนเดียวแต่ก็ทำไม่ได้เพราะเพื่อนจะต้องทำร้ายตนแน่
จึงต้องแบ่งอาหารให้เพื่อนเพื่อความอยู่รอดของตน
การให้คือการลดความต้องการของตนเองที่เหลือเฟือลงไปเพือ่จะได้ให้คนอื่นได้บ้าง
การให้ต้องให้อย่างมีความสุข
การให้ต้องมีสติเป็นตัวกำกับเช่น
กำหนดให้ได้ว่าอยากให้
อย่าให้เพราะ
กลัวเสียหน้า
อยากได้หน้า
เพราะจะทำให้ตนเองเกิดความทุกข์มากว่า
เพราะการให้อย่างนั้นจะไม่นำไปสู่ความสุข
ความสุขที่ได้นั้นเกิดขึ้นจากที่เรียกว่า
มุทิตา
ซึ่งเป็นความสุขที่ได้จากการให้
เสียเงินเสียทองทั้งทีอย่าให้เสียแล้วติดลบ
บุญก็ไม่ได้
ยังทำร้ายตนเอง
มานั่งหงุดหงิดเสียอารมณ์
เพราะเสียดายเงิน
ความสุขใด
ๆ
เมื่อเกิดขึ้น
จะมีผลทำให้สารเคมี
ที่ชื่อว่า
แอนโดฟิน
หลัง
เป็นสารมหัศจรรย์
ที่มีฤทธิ์
ระงับอาการเจ็บปวดได้
ทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวยเป็นสาว 2000ปีได้ด้วย
ซึ่งจะตรงกันข้ามกับสารเคมี
ที่เรียกว่า
แอดรินาลีน
ที่จะเป็นตัวเผาผลาญพลังงาน
ทำลายเหมือนไฟที่ไหม้สุมทรวง
ข้อสุดท้าย
การถืออุเบกขา
การวางเฉยเมื่อทำดีที่สุดแล้ว
แต่ไม่ใช่วางเฉยตั้งแต่ต้นมือ
เหมือนกับการช่วยเหลือผู้ป่วย
ถ้าได้พยายามอย่างที่สุดแล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จก็คงต้องทำใจให้วางเฉย
ไม่ใช่เห็นคนเจ็บพะงาบ
ๆ
ก็รีบปลงเสียก่อนว่าเดี๋ยวก็ตายไปเอง
หรือยังไง
ๆก็ตายแน่
ๆ
มีเรื่องเล่ากันว่า
กลุ่มอาจารย์มาชุมนุมกันนินทาลูกศิษย์
และลงมติว่า
ต่อไปนี้จะไม่ยุ่งวุ่นวาย
ดุด่านักศึกษา
เพราะสมัยนี้เด็กไม่รักดี
ปล่อยวัดไปเถอะ
ทำใจให้สบาย
แล้วในความเป็นจริงเรารู้สึกสบายใจไปตามที่พูดจริง
ๆ
หรือเปล่า
ถ้าเราไม่ได้ทำหน้าที่ครูที่ดี
ขอให้ถามใจตัวเราเองว่าเรารู้สึกสบายใจได้จริง
ๆ
หรือเมื่อเราทำท่าเหมือนคนไร้หัวใจและละทิ้งหน้าที่ครู
ถ้าครูได้ทำดีที่สุดแล้วก็อาจต้องวางอุเบกขาเช่นกัน
เพราะไม่เช่นนั้น
ครูก็ต้องกลับมาทุกข์ใจที่ช่วยลูกศิษย์ให้เป็นคนดีไม่ได้
มีนักศึกษาชายหนุ่ม
2 คน
นั่งกินเหล้าพร้อมจีบสาว
พอเข้าไปเตือนก็ทำท่าทีที่พอจะเดาได้ว่าในใจของเขาคงคิดว่าอีแก่คนนี้เสือ..อะไรด้วย
สิ่งที่พูดได้ให้เขาฟังเป็นประโยคสุดท้ายก่อนทำอุเบกขาก็คือ "ถ้าครูเป็นพ่อแม่ของพวกหนู
และ
รู้ว่าขณะที่ลูกของตัวเองคอรัปชั่นเวลาไม่เข้าชั้นเรียน
คอรัปชั่นเงินที่ควรจะใช้ประโยชน์ในการเรียนมากินเหล้า
ทำในสิ่งที่ไม่สมควรจะทำ
แต่ก็มีอีแก่คนหนึ่งเข้ามาสั่งสอนลูกเราว่าอะไรดีอะไรไม่ดีแทนเรา
ครูต้องกราบขอบคุณอีแก่คนนั้นนะ"
แต่เด็กนักศึกษาคนนี้โชคดีเพราะดวงตาเห็นธรรม
หรืออาจจะเป็นบุญของครูที่ได้ทำบุญ
เพราะปรากฏว่า
เป็นประโยคคำพูดที่ทำให้นักศึกษายกมือไหว้กล่าวขอบคุณ
แต่ถ้านักศึกษาดวงตาไม่เห็นธรรม
ครูก็น่าจะทำใจวางเฉยอย่างมีอุเบกขาได้
สิ่งหนึ่งที่แนะนำให้ครูที่ดีคิดเพื่อจะได้ไม่ท้อใจกับการทำหน้าที่ครูดี
คือต้องคิดว่าเมื่อเราทำบุญกับลูกศิษย์เราย่อมต้องได้ผลบุญคือความสุขใจ
เราจะทุกข์ใจกับผลที่ได้รับ
เพราะสิ่งที่ให้เขารับไม่ได้เนื่องจากเขามีกรรม
การวางอุเบกขาจึงเป็นแนวทางที่ดี
อาจารย์บางรายไม่วางอุเบกขาก็จะเกิดอาการเจ็บใจและแค้นเคืองจนเป็นเรื่องราวใหญ่โตก็มี
ซึ่งไม่ได้ประโยชน์แถมเป็นโทษอีกด้วย
มีข้อคิดอยู่อีกข้อหนึ่งว่าถ้าพบนักศึกษากระทำความผิดแต่ครูไม่ทักท้วง
ตามหลักจิตวิทยาก็เท่ากับว่าเป็นการให้แรงเสริมบวก
ซึ่งก็จะทำให้เขาทำผิดไปเรื่อย
ๆ
การเป็นครู
เหมือนกับบวชตลอดชีวิตซึ่งยิ่งกว่าพระเสียอีก
เพราะแม้จะเป็นครูแค่เพียงวันเดียวก็จะถูกเรียกว่า
ครู
ตลอดไป
ดังนั้นสำหรับผู้ที่ได้ก้าวกระโจนลงมาสู่อาชีพครูก็นานแล้วก็น่าจะคิดได้ว่าต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุดให้สมกับความเป็นครูดีของลูกศิษย์และของประเทศชาติด้วย
|