พูดจาภาษาครู
การพูดเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิต
เพราะเป็นเครื่องมือที่มนุษย์ใช้สื่อสารกันในชีวิตประจำวัน
โดยเฉพาะผู้ที่มีอาชีพเป็นครูอย่างฉันด้วยแล้วการพูดยิ่งเป็นเรื่องที่จำเป็น
การเป็นครูนั้นไม่ใช่สักแต่ว่าพูดได้แต่ต้องพูดเป็น
และช่างพูดด้วย คงจะไม่มีลูกศิษย์คนไหนที่ ชอบเรียนกับครูที่นาน ๆ จะ
พูดขึ้นมาสักคำ เหมือนกับว่าจะกลัวดอกพิกุลร่วง
คอยแล้วคอยเล่ากว่าจะหลุดออกมาสักคำนั้นแสนยากเย็น
ลูกศิษย์คงคอยรอที่เก็บดอกพิกุลที่จะร่วงมาจากปากของครูจนเหงือกแห้งพอดีใครที่คิดจะเป็นครูต้องไม่ถือสุภาษิตที่ว่า
พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง เพราะ
คงจะทำให้เกิดอาการนิ่งเงียบจนน่ากลัว และที่รู้
ๆก็คือนักเรียนส่วนใหญ่เขาถือสุภาษิตนี้กันอยู่แล้วโดยเฉพาะในเวลาเรียน
ครูอยากได้สองไพเบี้ยก็พูดไปคนเดียวก็แล้วกัน
พวกหนูอยากได้ตำลึงทองมากกว่า
และในบางครั้งอยากได้มากจนถึงหลับไปเลยก็มี
ดังนั้นการเป็นครูที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติเป็นคนพูดเก่ง พร่ำสอนเก่ง
พูดแล้วให้คนอื่นฟังรู้เรื่อง ไม่ใช่พูดแล้วตัวเองรู้เรื่องอยู่คนเดียว
การที่จะพูดแบบละไว้ในฐานที่เข้าใจอย่าทำเป็นอันขาด เพราะนอกจาจะเกิดผลเสียแก่ตัวนักเรียนเพราะไม่สามารถตอบสนองความต้องการของครูในด้านการพัฒนาการเรียนการสอนได้แล้ว
ตัวครูเองจะเกิดความรู้สึกว่าการสอนของตนล้มเหลว
การพูดอะไรไม่ชัดเจนนั้นมักจะทำให้เกิดช่องว่างในการที่จะทำความเข้าใจกันเสมอมีเพื่อนครูคนหนึ่ง
มักจะมาปรับทุกข์กับฉันเสมอว่า "เด็กนักเรียนเดี๋ยวนี้ไม่ได้เรื่องเลย
ฟังอะไรก็ไม่รู้เรื่อง
ฉันบอกว่า ในวิชานี้
ให้นักเรียนหาเรื่องมากลุ่มละเรื่อง แล้วนำมารายงานหน้าชั้น พอถามที่ไร
นักเรียนก็ไม่พร้อมที่จะรายงานเสียที
บอกว่ายังหาเรื่องไม่ได้เลย ฉันจะจับตกให้หมดเลย
นักเรียนอะไรไม่รับผิดชอบงานที่สั่งเลย"
เมื่อฉันมีโอกาสได้คุยกับนักเรียนห้องนี้ฉันจึงได้ถึงบางอ้อ
ว่าเป็นเพราะนักเรียนเข้าใจคำว่า หาเรื่อง ต่างไปจากที่ครูสั่งงาน
ดีแต่ว่าฉันได้พูดคุยกับนักเรียนก่อนที่เขาจะไปหาเรื่องให้เกิดเป็นเรื่องขึ้นมาเสียก่อน ไม่งั้นยุ่งตายเลย
พวกเพื่อน ๆ ฉันเวลาคุยกัน มักจะพูดคำว่าอ้ายโน่นอ้ายนี่
แล้วคิดว่าคนเขาเข้าใจว่า อ้ายโน่นอ้ายนี่ของเรานั้นคืออะไร
บางครั้งพอจะนึกทบทวนขึ้นมาก็ทำให้เกิดการสับสนว่ามันคืออะไรกันแน่
แล้วเวลาไปสอนนักเรียนก็บอกว่า
นักเรียน หยิบอ้ายนั่นออกมา ครูจะสอนให้นักเรียนทำอ้ายนี่
พอครูทำอ้ายนี่เสร็จนะคะ
นักเรียนก็ทำอ้ายนั่นให้เหมือนที่ครูทำให้ดูนะคะ เสร็จแล้วส่งไว้บนอ้ายโน่นนะ
โอ๊ย งงไปหมดแล้วค่ะ ครูขา กรุณาช่วยแปลหน่อยค่ะ
ในการสอนหนังสือนั้นครูต้องเป็นผู้ที่พูดบรรยาย
อธิบายเนื้อหาสาระต่าง ๆ ให้นักเรียนได้เข้าใจ
และจากการที่ฉันได้พูดคุยกับนักเรียนในตอนเย็นวันหนึ่ง
ทำให้ฉันได้รู้ว่านักศึกษาเขาคิดอย่างไรกับการพูดของครูในขณะทำการสอน
ซึ่งเมื่อฉันได้ฟังคำบัญญัติศัพท์การพูดของครูในการสอนแล้วก็ทำให้ฉันต้องกลับมาพิจารณาตัวว่าเข้าข่ายการพูดในแบบฉบับใดบ้างหรือเปล่า
เพราะมันน่ากลัวทั้งนั้น
พวกแรกคือพวกครูที่พูดแบบไร้วิญญาณ
เป็นพวกที่พูดแบบซังกะตายไร้ชีวา ปราศจากอารมณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น
เรียกว่าเสียงเดี่ยวตลอด
ครูที่มีน้ำเสียงแบบนี้ลูกศิษย์มักจะทำพฤติกรรม
สิ้นเสียงก็สิ้นสั่ง หลับสนิทคาโต๊ะแทบทุกคน
ครูพวกนี้มีลูกศิษย์ได้แอบอัดเสียงไว้เปิดให้ฟัง ตัวเองยังตกใจเลยนึกว่าเสียงแม่นาคเสียอีกเพราะฟังแล้วขนลุก
พวกที่สองคือพวกครูที่พูดแบบน่าสงสาร
ครูพวกนี้มักจะออดอ้อนลูกศิษย์
ว่า ครูแก่แล้วเหนื่อย
มีโรคภัยไข้เจ็บมากมาย ทั้งขั่วโมงก็จะเล่าแต่เรื่องสุขภาพของร่างกาย
ที่เสื่อมโทรมเวลาจะเดินไปสอนก็ต้องมีนักเรียน 2-3
คนไปออกันอยู่หน้าห้องเพื่อประคองซ้าย ขวา ยกกระเป๋าและ
เครื่องอัฐบริขารต่าง ๆ เช่น ยาลม ยาดม ยาอม ยาหม่อง
หอบขึ้นไปสอนด้วย ครูพวกนึ้ส่วนใหญ่มักจะเป็นพวกที่เกือบจะถูกปลดระวางแล้วทั้งนั้น
แต่วิญญาณความเป็นครูยังมีอยู่ไม่เสื่อมคลาย ก็เลยต้องหิ้วกันขึ้นไปสอน
อรรถาธิบายกันอย่างทุลักทุเลพอสมควร แต่ครูจำพวกนึ้มักจะใจดีเหมือนคุณยาย
เห็นนักเรียนก็เหมือนลูกหลาน
และนักเรียนส่วนใหญ่ก็มักจะรักและสงสารพร้อมทั้งเอาใจเพราะเห็นว่าแก่แล้ว
ขืนทำฤทธิ์ครูแก่อาจจะหัวใจวายเอาง่าย ๆ จะบาปกรรมโดยไม่รู้ตัว ยังไง ๆ
ก็ให้แก่ตายไปเองดีกว่า
พวกที่สามคือ
ครูที่พูดแบบ[1]พาลโมโห
[1]ครูพวกนี้มักที่จะอารมณ์ไม่ดีให้เห็นนิจสิน
ที่เรียกว่ามีอารมณ์ค้างก็ไม่ปาน
เห็นอะไรก็รกหูรกตาไปหมด
เวลาสอนก็มักจะแสดงท่ากวน ๆ
เหมือนในหนังคาวบอย เอามือล้วงกระเป๋า
นั่งบนโต๊ะ กระดิกเท้า
เวลาสอนห้ามถามเด็ดขาด ยิ่งเวลาไม่สอนก็ยิ่งห้ามถาม
แล้วจะให้ไปถามเมื่อไหร่ล่ะ นอกจากนี้ครูจำพวกนี้ยังมักที่จะวางกล้ามอวดดี
มีวาจาสามหาว ลูกศิษย์ไม่กล้าหือ ยิ่งคะแนนอยู่ในกำมือของผู้สอนด้วยแล้ว
นักเรียนก็มักจะกลัวจนหัวหด ครูให้ทำอะไรก็ต้องทำ
ครั้นจะร้องเรียนก็ไม่กล้าเพราะ ถ้าเกิดไม่ชอบมาพากล
ตัวเองก็อาจจะต้องเดือดร้อน อาจจะต้องถึงกับตกออกด้วยซ้ำ กรรมของนักเรียนแท้
ๆ
พวกที่สี่คือครูที่พูดแบบคุยโวทั้งปี
พวกที่มีความอึดอัดใจที่คนอื่นมองไม่เห็นความดี
ความเก่งกล้าของตนเองจึงมักจะนำออกมาเล่าให้นักเรียนฟังเพื่อจะได้ระบายความยิ่งใหญ่ที่คับข้องใจพวกนี้จะคุยฟุ้ง
เล่าเก่งในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการเรียน หรือเนื้อหาวิชา
พอรู้ตัวก็มักจะหมดเวลาสอนพอดีพวกนี้มักจะออกข้อสอบแบบยากๆ
พอนักเรียนทำไม่ได้จะได้เอาไว้คุยต่อว่า
ครูออกข้อสอบยากม๊ากคา ก็เล่นสอนไม่ออก ออกไม่สอน
(ออกข้อสอบน่ะ)แล้วเทวดาที่ไหนจะไปทำได้เล่า
พวกที่ห้าคือครูที่พูดแบบพูดดีไม่เป็น เห็นหน้านักเรียนเป็นต้องด่า
ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง
ครูบางคนมีพรสวรรค์ในการด่ามาก ด่าทั้งชั่วโมงคำไม่ซ้ำกันเลยก็มี
แถมในบางครั้งก็มีการท้าวความเดิม เพิ่มเติมอีกด้วย พวกนี้มักจะสอนไปด่าไป
จนนักเรียนเองก็งงไปว่า
ตอนไหนสอน ตอนไหนด่า
จนจดบันทึกสลับกันไปหมดเลย
ครูพวกมักจะเป็นพวกที่ทำร้ายใครไม่ได้ก็มาลงมี่นักเรียน
เข้าทำนองเป็นพวกเก็บกดจิตมีปัญหา ว่างั้นเถอะ
การพูดทั้งห้าประเภทนี้ไม่ได้จำกัดแต่เฉพาะคนที่เป็นครูเท่านั้น
เพราะคนที่ไม่เป็นครูก็ใช่ว่าจะไม่จำเป็นต้องพูดเสียเมื่อไหร่
จากการศึกษาพบว่าคนใช้การพูดเพื่อการสื่อสาร 80 %
ของการสื่อสารด้วยวิธีอื่น
ดังนั้นเราท่านทั้งหลายก็ควรหันมาพิจารณากันบ้างว่าการพูดของเรานั้นมีสิทธิติดอันดับ
หนึ่ง ใน ห้าหรือเปล่า แล้วเราก็จะรู้ว่าทำไมเขาจึงเบือนหน้าหนี
หรือวิ่งหนีอย่างสุดชีวิตเมื่อเห็นหน้าเรา
หรือไม่ก็เมื่อเราเดินเข้ามาในวงสนทนาเขาก็แตกฮือกระจัดกระจายกันไป
การพูดนอกจากจะต้องให้ได้ใจความที่ชัดเจนมีความเป็นชีวิตชีวาและน่าฟังแล้วการพูดยังต้องการความเหมาะสมกับเวลาและโอกาสอีกด้วย
ฉันเคยไปงานแต่งงานของลูกเพื่อนที่ต่างจังหวัด
ปรากฏว่าผู้ที่ได้รับเชิญให้เป็นผู้กล่าวคำอวยพรนั้นเป็นนักพูด
นักบรรยายที่มีชื่อเสียง
ด้วยความเคยชินที่เคยเป็นวิทยากรที่เมื่อบรรยายคราใดก็มักจะมีมุขตลกมาผสมคลุกเคล้าทำให้บรรยากาศของการบรรยายครื้นเครงเสมอ
หรืออาจจะเป็นเพราะท่านเกิดอาการเจขึ้นในตอนหนึ่งที่ท่าน
กล่าวอวยพรคู่บ่าวสาวเป็นทำนองว่า เมียนั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกแล้ว
ดังนั้นก็จะสรุปว่าร้อยชู้ฤาจะสู้เนื้อเมียตน แขกผู้มีเกียรติทั้งหลายที่ฟังอยู่ร่วมกับคู่บ่าวสาว
และญาติพี่น้องของทั้งสองฝ่ายต่างก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยความชื่นชมในการเป็นอัจฉริยะในการพูดของท่าน
แต่จะเป็นด้วยความคะนองปากหรือมีอะไรมาดลใจก็เหลือที่จะเดาท่านกล่าวต่ออย่างชัดถ้อยชัดคำพร้อมกลั้วด้วยเสียงที่แสดงอาการขบขันด้วย
ว่า เมียร้อยคนหรือจะสู้น้องเมียได้
ทุกคนที่ฟังอยู่แทนที่จะฮากลิ้งเหมือนกลุ่มผู้ฟังในห้องบรรยายที่เคยชอบอกชอบใจมาแล้ว
ทุกคนในที่นั้นกลับเงียบกริบ
ท่านผู้นั้นคงจะรู้ตัวว่าได้พูดสิ่งที่ไม่เหมาะสมออกไปแล้ว ก็กล่าวแก้เก้อว่า
ล้อเล่นครับ แต่ก็ไม่สามารถช่วยลบล้างความรู้สึกของผู้ฟังออกไปได้ ฉันสังเกตเห็นว่า
ต่อจากนั้นบุคลิกภาพและความมั่นใจของเขาได้ลดลงอย่างเห็นได้ชัดทีเดียว
คำกล่าวที่ว่า
พูดผิดพูดใหม่ได้นั้นไม่จริงเสมอไปเสียแล้วอย่างน้อยก็สำหรับเรื่องนี้
การพูดนั้นความจริงแล้วดูเหมือนง่ายใคร ๆ ก็พูดได้
ถ้าไม่เป็นใบ้ แต่การที่จะพูดให้เป็นนั้นไม่ใช่ของง่าย
ดังนั้นจึงไม่ควรประมาทในการพูดเป็นอย่างยิ่ง
อย่าให้ตกม้าตายตอนจบเหมือนท่านผู้นี้เลย
น่าเสียดายชื่อเสียงที่อุตส่าห์สะสมมา
สงสารเขาจัง |