ดร.สุภัททา ปิณฑะแพทย์

Dr.Supatta Pinthapataya

email: supattapin@yahoo.com







พูดจาภาษาครู

การพูดเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิต เพราะเป็นเครื่องมือที่มนุษย์ใช้สื่อสารกันในชีวิตประจำวัน   โดยเฉพาะผู้ที่มีอาชีพเป็นครูอย่างฉันด้วยแล้วการพูดยิ่งเป็นเรื่องที่จำเป็น   การเป็นครูนั้นไม่ใช่สักแต่ว่าพูดได้แต่ต้องพูดเป็น และช่างพูดด้วย คงจะไม่มีลูกศิษย์คนไหนที่ ชอบเรียนกับครูที่นาน ๆ จะ พูดขึ้นมาสักคำ เหมือนกับว่าจะกลัวดอกพิกุลร่วง  คอยแล้วคอยเล่ากว่าจะหลุดออกมาสักคำนั้นแสนยากเย็น ลูกศิษย์คงคอยรอที่เก็บดอกพิกุลที่จะร่วงมาจากปากของครูจนเหงือกแห้งพอดีใครที่คิดจะเป็นครูต้องไม่ถือสุภาษิตที่ว่า  พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง เพราะ คงจะทำให้เกิดอาการนิ่งเงียบจนน่ากลัว  และที่รู้ ๆก็คือนักเรียนส่วนใหญ่เขาถือสุภาษิตนี้กันอยู่แล้วโดยเฉพาะในเวลาเรียน  ครูอยากได้สองไพเบี้ยก็พูดไปคนเดียวก็แล้วกัน  พวกหนูอยากได้ตำลึงทองมากกว่า และในบางครั้งอยากได้มากจนถึงหลับไปเลยก็มี ดังนั้นการเป็นครูที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติเป็นคนพูดเก่ง พร่ำสอนเก่ง พูดแล้วให้คนอื่นฟังรู้เรื่อง ไม่ใช่พูดแล้วตัวเองรู้เรื่องอยู่คนเดียว  การที่จะพูดแบบละไว้ในฐานที่เข้าใจอย่าทำเป็นอันขาด เพราะนอกจาจะเกิดผลเสียแก่ตัวนักเรียนเพราะไม่สามารถตอบสนองความต้องการของครูในด้านการพัฒนาการเรียนการสอนได้แล้ว ตัวครูเองจะเกิดความรู้สึกว่าการสอนของตนล้มเหลว

การพูดอะไรไม่ชัดเจนนั้นมักจะทำให้เกิดช่องว่างในการที่จะทำความเข้าใจกันเสมอมีเพื่อนครูคนหนึ่ง มักจะมาปรับทุกข์กับฉันเสมอว่า "เด็กนักเรียนเดี๋ยวนี้ไม่ได้เรื่องเลย ฟังอะไรก็ไม่รู้เรื่อง  ฉันบอกว่า  ในวิชานี้ ให้นักเรียนหาเรื่องมากลุ่มละเรื่อง แล้วนำมารายงานหน้าชั้น พอถามที่ไร  นักเรียนก็ไม่พร้อมที่จะรายงานเสียที  บอกว่ายังหาเรื่องไม่ได้เลย ฉันจะจับตกให้หมดเลย นักเรียนอะไรไม่รับผิดชอบงานที่สั่งเลย" เมื่อฉันมีโอกาสได้คุยกับนักเรียนห้องนี้ฉันจึงได้ถึงบางอ้อ ว่าเป็นเพราะนักเรียนเข้าใจคำว่า หาเรื่อง ต่างไปจากที่ครูสั่งงาน ดีแต่ว่าฉันได้พูดคุยกับนักเรียนก่อนที่เขาจะไปหาเรื่องให้เกิดเป็นเรื่องขึ้นมาเสียก่อน ไม่งั้นยุ่งตายเลย  พวกเพื่อน ๆ ฉันเวลาคุยกัน มักจะพูดคำว่าอ้ายโน่นอ้ายนี่ แล้วคิดว่าคนเขาเข้าใจว่า อ้ายโน่นอ้ายนี่ของเรานั้นคืออะไร บางครั้งพอจะนึกทบทวนขึ้นมาก็ทำให้เกิดการสับสนว่ามันคืออะไรกันแน่  แล้วเวลาไปสอนนักเรียนก็บอกว่า  นักเรียน หยิบอ้ายนั่นออกมา ครูจะสอนให้นักเรียนทำอ้ายนี่  พอครูทำอ้ายนี่เสร็จนะคะ นักเรียนก็ทำอ้ายนั่นให้เหมือนที่ครูทำให้ดูนะคะ เสร็จแล้วส่งไว้บนอ้ายโน่นนะ โอ๊ย งงไปหมดแล้วค่ะ ครูขา กรุณาช่วยแปลหน่อยค่ะ      

 ในการสอนหนังสือนั้นครูต้องเป็นผู้ที่พูดบรรยาย  อธิบายเนื้อหาสาระต่าง ๆ ให้นักเรียนได้เข้าใจ และจากการที่ฉันได้พูดคุยกับนักเรียนในตอนเย็นวันหนึ่ง ทำให้ฉันได้รู้ว่านักศึกษาเขาคิดอย่างไรกับการพูดของครูในขณะทำการสอน  ซึ่งเมื่อฉันได้ฟังคำบัญญัติศัพท์การพูดของครูในการสอนแล้วก็ทำให้ฉันต้องกลับมาพิจารณาตัวว่าเข้าข่ายการพูดในแบบฉบับใดบ้างหรือเปล่า เพราะมันน่ากลัวทั้งนั้น    

 พวกแรกคือพวกครูที่พูดแบบไร้วิญญาณ เป็นพวกที่พูดแบบซังกะตายไร้ชีวา ปราศจากอารมณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น   เรียกว่าเสียงเดี่ยวตลอด  ครูที่มีน้ำเสียงแบบนี้ลูกศิษย์มักจะทำพฤติกรรม  สิ้นเสียงก็สิ้นสั่ง หลับสนิทคาโต๊ะแทบทุกคน ครูพวกนี้มีลูกศิษย์ได้แอบอัดเสียงไว้เปิดให้ฟัง  ตัวเองยังตกใจเลยนึกว่าเสียงแม่นาคเสียอีกเพราะฟังแล้วขนลุก     

 พวกที่สองคือพวกครูที่พูดแบบน่าสงสาร ครูพวกนี้มักจะออดอ้อนลูกศิษย์  ว่า ครูแก่แล้วเหนื่อย  มีโรคภัยไข้เจ็บมากมาย ทั้งขั่วโมงก็จะเล่าแต่เรื่องสุขภาพของร่างกาย ที่เสื่อมโทรมเวลาจะเดินไปสอนก็ต้องมีนักเรียน 2-3 คนไปออกันอยู่หน้าห้องเพื่อประคองซ้าย ขวา ยกกระเป๋าและ  เครื่องอัฐบริขารต่าง ๆ เช่น ยาลม ยาดม ยาอม ยาหม่อง หอบขึ้นไปสอนด้วย ครูพวกนึ้ส่วนใหญ่มักจะเป็นพวกที่เกือบจะถูกปลดระวางแล้วทั้งนั้น  แต่วิญญาณความเป็นครูยังมีอยู่ไม่เสื่อมคลาย ก็เลยต้องหิ้วกันขึ้นไปสอน อรรถาธิบายกันอย่างทุลักทุเลพอสมควร  แต่ครูจำพวกนึ้มักจะใจดีเหมือนคุณยาย เห็นนักเรียนก็เหมือนลูกหลาน และนักเรียนส่วนใหญ่ก็มักจะรักและสงสารพร้อมทั้งเอาใจเพราะเห็นว่าแก่แล้ว ขืนทำฤทธิ์ครูแก่อาจจะหัวใจวายเอาง่าย ๆ จะบาปกรรมโดยไม่รู้ตัว ยังไง ๆ ก็ให้แก่ตายไปเองดีกว่า

 พวกที่สามคือ ครูที่พูดแบบ[1]พาลโมโห [1]ครูพวกนี้มักที่จะอารมณ์ไม่ดีให้เห็นนิจสิน ที่เรียกว่ามีอารมณ์ค้างก็ไม่ปาน  เห็นอะไรก็รกหูรกตาไปหมด  เวลาสอนก็มักจะแสดงท่ากวน    เหมือนในหนังคาวบอย  เอามือล้วงกระเป๋า  นั่งบนโต๊ะ  กระดิกเท้า เวลาสอนห้ามถามเด็ดขาด ยิ่งเวลาไม่สอนก็ยิ่งห้ามถาม แล้วจะให้ไปถามเมื่อไหร่ล่ะ นอกจากนี้ครูจำพวกนี้ยังมักที่จะวางกล้ามอวดดี มีวาจาสามหาว ลูกศิษย์ไม่กล้าหือ  ยิ่งคะแนนอยู่ในกำมือของผู้สอนด้วยแล้ว นักเรียนก็มักจะกลัวจนหัวหด ครูให้ทำอะไรก็ต้องทำ ครั้นจะร้องเรียนก็ไม่กล้าเพราะ ถ้าเกิดไม่ชอบมาพากล ตัวเองก็อาจจะต้องเดือดร้อน อาจจะต้องถึงกับตกออกด้วยซ้ำ กรรมของนักเรียนแท้ ๆ

พวกที่สี่คือครูที่พูดแบบคุยโวทั้งปี พวกที่มีความอึดอัดใจที่คนอื่นมองไม่เห็นความดี  ความเก่งกล้าของตนเองจึงมักจะนำออกมาเล่าให้นักเรียนฟังเพื่อจะได้ระบายความยิ่งใหญ่ที่คับข้องใจพวกนี้จะคุยฟุ้ง เล่าเก่งในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการเรียน หรือเนื้อหาวิชา พอรู้ตัวก็มักจะหมดเวลาสอนพอดีพวกนี้มักจะออกข้อสอบแบบยากๆ พอนักเรียนทำไม่ได้จะได้เอาไว้คุยต่อว่า  ครูออกข้อสอบยากม๊ากคา ก็เล่นสอนไม่ออก ออกไม่สอน (ออกข้อสอบน่ะ)แล้วเทวดาที่ไหนจะไปทำได้เล่า   

พวกที่ห้าคือครูที่พูดแบบพูดดีไม่เป็น เห็นหน้านักเรียนเป็นต้องด่า  ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง  ครูบางคนมีพรสวรรค์ในการด่ามาก ด่าทั้งชั่วโมงคำไม่ซ้ำกันเลยก็มี แถมในบางครั้งก็มีการท้าวความเดิม เพิ่มเติมอีกด้วย พวกนี้มักจะสอนไปด่าไป จนนักเรียนเองก็งงไปว่า ตอนไหนสอน  ตอนไหนด่า  จนจดบันทึกสลับกันไปหมดเลย  ครูพวกมักจะเป็นพวกที่ทำร้ายใครไม่ได้ก็มาลงมี่นักเรียน เข้าทำนองเป็นพวกเก็บกดจิตมีปัญหา ว่างั้นเถอะ

 การพูดทั้งห้าประเภทนี้ไม่ได้จำกัดแต่เฉพาะคนที่เป็นครูเท่านั้น เพราะคนที่ไม่เป็นครูก็ใช่ว่าจะไม่จำเป็นต้องพูดเสียเมื่อไหร่ จากการศึกษาพบว่าคนใช้การพูดเพื่อการสื่อสาร 80 % ของการสื่อสารด้วยวิธีอื่น ดังนั้นเราท่านทั้งหลายก็ควรหันมาพิจารณากันบ้างว่าการพูดของเรานั้นมีสิทธิติดอันดับ หนึ่ง ใน ห้าหรือเปล่า แล้วเราก็จะรู้ว่าทำไมเขาจึงเบือนหน้าหนี หรือวิ่งหนีอย่างสุดชีวิตเมื่อเห็นหน้าเรา หรือไม่ก็เมื่อเราเดินเข้ามาในวงสนทนาเขาก็แตกฮือกระจัดกระจายกันไป

 การพูดนอกจากจะต้องให้ได้ใจความที่ชัดเจนมีความเป็นชีวิตชีวาและน่าฟังแล้วการพูดยังต้องการความเหมาะสมกับเวลาและโอกาสอีกด้วย ฉันเคยไปงานแต่งงานของลูกเพื่อนที่ต่างจังหวัด ปรากฏว่าผู้ที่ได้รับเชิญให้เป็นผู้กล่าวคำอวยพรนั้นเป็นนักพูด  นักบรรยายที่มีชื่อเสียง ด้วยความเคยชินที่เคยเป็นวิทยากรที่เมื่อบรรยายคราใดก็มักจะมีมุขตลกมาผสมคลุกเคล้าทำให้บรรยากาศของการบรรยายครื้นเครงเสมอ หรืออาจจะเป็นเพราะท่านเกิดอาการเจขึ้นในตอนหนึ่งที่ท่าน กล่าวอวยพรคู่บ่าวสาวเป็นทำนองว่า เมียนั้นเป็นสิ่งที่เราเลือกแล้ว  ดังนั้นก็จะสรุปว่าร้อยชู้ฤาจะสู้เนื้อเมียตน แขกผู้มีเกียรติทั้งหลายที่ฟังอยู่ร่วมกับคู่บ่าวสาว และญาติพี่น้องของทั้งสองฝ่ายต่างก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยความชื่นชมในการเป็นอัจฉริยะในการพูดของท่าน    แต่จะเป็นด้วยความคะนองปากหรือมีอะไรมาดลใจก็เหลือที่จะเดาท่านกล่าวต่ออย่างชัดถ้อยชัดคำพร้อมกลั้วด้วยเสียงที่แสดงอาการขบขันด้วย ว่า เมียร้อยคนหรือจะสู้น้องเมียได้ ทุกคนที่ฟังอยู่แทนที่จะฮากลิ้งเหมือนกลุ่มผู้ฟังในห้องบรรยายที่เคยชอบอกชอบใจมาแล้ว ทุกคนในที่นั้นกลับเงียบกริบ ท่านผู้นั้นคงจะรู้ตัวว่าได้พูดสิ่งที่ไม่เหมาะสมออกไปแล้ว ก็กล่าวแก้เก้อว่า ล้อเล่นครับ แต่ก็ไม่สามารถช่วยลบล้างความรู้สึกของผู้ฟังออกไปได้ ฉันสังเกตเห็นว่า ต่อจากนั้นบุคลิกภาพและความมั่นใจของเขาได้ลดลงอย่างเห็นได้ชัดทีเดียว คำกล่าวที่ว่า พูดผิดพูดใหม่ได้นั้นไม่จริงเสมอไปเสียแล้วอย่างน้อยก็สำหรับเรื่องนี้  การพูดนั้นความจริงแล้วดูเหมือนง่ายใคร  ๆ ก็พูดได้ ถ้าไม่เป็นใบ้ แต่การที่จะพูดให้เป็นนั้นไม่ใช่ของง่าย   ดังนั้นจึงไม่ควรประมาทในการพูดเป็นอย่างยิ่ง  อย่าให้ตกม้าตายตอนจบเหมือนท่านผู้นี้เลย น่าเสียดายชื่อเสีงที่อุตส่าห์สะสมมา สงสารเขาจัง

© Copyright 2005. All rights reserved. Contact: supattapin@yahoo.com