พูดจาภาษานักเรียน
เมื่อวันก่อนฉันได้หลุดเข้าไปนั่งรับประทานอาหาร
ในโรงอาหารของนักศึกษา
เนื่องจากเกิดอาการหิวจนหูตาลาย
ในขณะนั้นเป็นเวลาที่นักศึกษาเปลี่ยนชั่วโมงเรียนและเข้าเรียนเรียบร้อยแล้ว
จึงมีนักศึกษาเหลืออยู่ในโรงอาหารเป็นจำนวนไม่มากนัก
ฉันเลือกที่นั่งตรงมุมสงบมุมหนึ่ง
หันหลังให้กับทางเข้าทางออกของโรงอาหาร
เพราะเกิดความไม่แน่ใจว่าความหิวจะทำให้พฤติกรรมการกินของฉันนั้นมีคนนำไปเปรียบเทียบกับพฤติกรรมของผู้ที่ฉันไม่ประสงค์จะเข้าพวกด้วยหรือไม่
ในความรู้สึกของฉันอาหารที่ฉันกินในวันนั้นมีความอร่อยเป็นอย่างยิ่ง
ไม่เห็นเหมือนกับคำบอกเล่าของเพื่อนอาจารย์ของฉันหลาย ๆคน
ที่มักจะค่อนขอดและให้คำนิยามไว้ ว่า
ดีกว่ากินดิน
กำลังนึกอยู่ในใจว่า เมื่ออิ่มแล้วจะไปโพนทะนา
เอ๊ยไม่ใช่
จะไปแก้ข่าวเรื่องรสชาติของอาหารว่าแท้ที่จริงแล้วน่าจะให้คำนิยามว่า
ดีกว่าไม่มีกิน ต่างหาก
ในขณะที่ฉันกำลังชื่นชุลมุนอยู่กับการกินนั้น พลันฉันก็เกิดอาการหยุดชะงัก
หมดความรู้สึกสนใจในรสชาดของอาหารขึ้นมาทันที
ก็จะไม่ให้ฉันเกิดอาการชะงักงันได้อย่างไร
เพราะเสียงคุยกันของนักศึกษากลุ่มหนึ่งที่เพิ่งจะพากันเดินเข้ามาในโรงอาหารนั้นนอกจากจะดังคับโรงอาหารแล้วเรื่องที่พวกเขา
กำลังวิพากษ์วิจารย์อยู่นั้น
ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสอนของอาจารย์ท่านหนึ่งที่พวกเขาเพิ่งจะเรียนจบชั่วโมงมาหยก
ๆ เสียด้วย
นักศึกษาท่านหนึ่งกล่าวว่า
"นี่ พวกเธอเห็นด้วยกับฉันไม๊ว่าอาจารย์สอนวิชา...
แกสอนปากเป็นชักยนตร์เลยนะ"
ฉันเกิดอาการสะอึกขึ้นมาทันทีเพราะคิดไปว่าอาจารย์ผู้นั้นเจอดีเข้าให้แล้วไหมล่ะ สมน้ำหน้า
คงพูดแบบไม่หยุดปากจนนักศึกษาจดไม่ทัน หรือไม่ก็อาจจะสอนแบบน้ำท่วมทุ่ง
เวลาจะทบทวนว่าอาจารย์สอนอะไรบ้างในชั่วโมงเรียน
ก็ต้องหากระชอนมากรองเพื่อค้นหาเนื้อหาวิชา
ดีนะที่ลูกศิษย์พวกนึ้เขาไม่ใช้คำว่า อาจารย์สอนแบบปากไม่มีหูรูด
หรือ อาจารย์สอนแบบผีเจาะปากหริอ สอนยังกับพวกฆ้องปากแตก
อะไรทำนองนั้นน่ะเพราะถ้าพวกเขาใช้สำนวนเหล่านี้
อาจารย์จะรู้ว่าความหนาวนั้นเป็นอย่างไร
แต่แล้วคำพูดเสริมต่อท้ายอธิบายความของนักศึกษาท่านเดิมก็ทำให้ฉันโล่งใจที่เข้าใจความหมายของคำพูดที่เขานำมาเปรียบเปรยนั้นผิดไป
เพราะนักศึกษาท่านเดิมกล่าวด้วยน้ำเสียงสุดจะชื่นชมอาจารย์คนที่พวกเขากำลังกล่าวขวัญถึงว่า
"แกช่างอธิบ๊าย อธิบาย ใครทำหน้างง ๆ หรือ ชักสีหน้าสักนิด สักหน่อย
แกก็จะออกอาการวาดลวดลายอรรถาธิบายจนพวกเราเข้าใจแจ่มแจ้งแดงแจ๋ทีเดียว
โอ้โห
ฉันคิดอะไรมันจะแดงขนาดนั้น
นักเรียนในกลุ่มเสริมว่า ความจริงก็สงสารอาจารย์นะที่อุตส่าห์อธิบาย
ฉันเองยังต้องเตือนยายนิภาเลยว่า
เวลาเรียนห้ามทำหน้ายับหน้าย่น
มันก็ไม่เชื่อเพราะพออาจารย์เหลือบมองหน้ายายนิภาทีไร
ฉันเดาได้เลยว่าแกต้องอธิบายซ้ำทุกที แม้ว่าจะทำให้
พวกเราจะเข้าใจแบบทะลุปรุโปร่งไปหมดก็ตามที่ แต่การที่อาจารย์แกก็ไม่ยอมอม
(เข้าใจว่าน่าจะละคำว่า ภูมิ ไว้ในฐานที่เข้าใจ)
อะไรไว้เสียบ้างเลยเล่นบอกทุกสิ่งทุกอย่างอย่างหมดใส้หมดพุงอย่างนี้ทำให้เสียมาดอาจารย์ไปหมด
อีกคนรีบเสริม แต่ว่าไปแล้วถ้าอาจารย์แกก็อนาทรร้อนใจนะ
ถ้าอาจารย์สอนพวกเราได้อย่างนี้ทุกคนก็คงดีนะ"
ฉันถอนใจอย่างเบา ๆ
เพื่อให้ลมสามารถเข้าสู่ปอดได้อย่างเต็มที่หลังจากมีความรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง
อาการผ่อนคลายของฉันยังไม่ทันที่จะเข้าที่เข้าทาง
พลันฉันก็ต้องกลับมาสะดุ้งแปดตลบอีกครั้ง
เมื่อท่านนักศึกษาอีกคนหนึ่งกล่าวเสริมเพื่อให้มองเห็นภาพลักษณ์ของอาจารย์ผู้นั้นขึ้นมาอีกว่า
"เพื่อนรุ่นพี่เขากล่าวเตือนพวกเราเกี่ยวกับอาจารย์คนนี้มาด้วยนะว่า
แกน่ะ ปากว่าตาขยิบนะเธอ " ใจฉันนั้นสั่นกระดุ๊กกระดิ๊กขึ้นมาอีกทันที นี่ความวัวยังไม่ทันหาย
ความควายก็เข้ามาแทรกอีกแล้วหรือ
แล้วใจก็คิดเลยไปอีกว่า
อาจารย์ผู้นั้นคงทำอะไรที่ไม่ดี ต่อหน้าอย่าง
ลับหลังอย่างเป็นแน่แท้
จึงทำให้นักศึกษาเกิดความไม่ไว้วางใจในพฤติกรรมของอาจารย์แน่ ๆ เลย
แล้วอาจารย์แกจะรู้ตัวหรือเปล่าก็ไม่รู้
ฉันสะกดจิตสะกดใจไม่ให้เกิดความตื่นตระหนกไปกับคำพูดของ นักศึกษามากจนเกินไป
และคิดว่าถ้าตั้งใจฟังไปอีกสักหน่อยก็คงจะได้รู้ดำรู้แดงว่าอาจารย์ท่านนั้นมีพฤติกรรมอย่างไร
นักศึกษาท่านเดิมก็กล่าวต่อขึ้นมาด้วยเสียงที่มั่นใจในเรื่องที่ได้รับรู้มาว่า "เขาว่าว่าแกทำท่าดุไปอย่างงั้น ๆ แหละเรียกว่า
เขียนเสือให้วัวกลัว แต่ความจริงแล้วแกไม่มีอะไรหรอก
แก ใจดี เอ็นดูนักศึกษาเหมือนลูกเหมือนหลานเพราะแกไม่เคยมีลูกหลานมาก่อน
แกอยากมีจะตายไป
สาวแก่ก็อย่างนี้แหละและก็ที่เขาเรียกว่าคนในอยากออกคนนอกอยากเข้าไงล่ะ"
ยังดีหน่อยที่ลูกศิษย์เขาไม่ได้กล่าวหาว่า
อาจารย์ท่านนั้น ปากมหาภัย น้ำใจดีงาม
แต่ฉันก็ยังสงสัยอยู่ดีท่านนักศึกษาเอาเรื่องสองเรื่องนั้นมารวมกันกลายเป็นคนละเรื่องเดียวกันได้อย่างไร
และที่กล่าวหาอาจารย์ผู้นั้นว่าแกได้อยากมีลูกมีหลานเสียเต็มประดานั้น
แกทำท่าอย่างไรและทำเมื่อไหร่ ชึ่งฉันเองก็ชักจะอยากรู้ขึ้นมาบ้าง
เผื่อจะได้นำมาเป็นความรู้
แล้วจะได้ไม่ไปทำท่าทำทางแสดงให้นักศึกษาเห็นอาการอยากเช่นว่านี้
ฉันค่อย ๆ
ผ่อนลมหายใจที่สะกัดกลั้นเอาไว้เสียหน้าเขียวหน้าเหลืองเพื่อให้ใจที่แกว่งไกวเมื่อสักครู่ได้ค่อย
ๆ สงบลง พลันก็เกิดความคิดที่อยากจะรู้ว่านักศึกษากลุ่มนี้
เป็นนักศึกษาวิชาเอกอะไร
เพราะช่างที่จะสรรหาคำมาพูดวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างเห็นหน้าเห็นหลังเอ๊ย เห็นเนื้อเห็นหนัง
(เอ๊ะใช่หรือเปล่า คนเล่าก็ชักจะงง ๆ แล้วเหมือนกัน
ท่านผู้อ่านช่วยหาคำให้หน่อยนะคะ)
ในขณะที่ฉันกำลังนึกหาคำที่เหมาะสมกับสถานการณ์อยู่นั้น
นักศึกษาอีกคนหนึ่งกล่าวต่ออย่างสนุกสนานอีกกว่า
อาจารย์แกยังแนะนำพวกเราว่า
เวลาเรียนน่ะอย่านั่งเงียบเฉย ฉันว่าแกคงหาว่าพวกเรานั่งเงียบเหมือนเป่า....
มีปากเหมือนมี... แน่เลยว่ะ แกคงอยากให้พวกเราเป็นประเภทพวกปากกระโถนหรือ
พวกปากหอยปากปู เป็นแน่เลย" นักศึกษาคนเดิมพูดต่ออีกว่า พวกเรามันไม่ใช่พวกปากยื่นปากยาวเสียด้วยนะเธอ
จะได้ทำตามที่อาจารย์แกต้องการได้
ฉันอยากจะลุกหนีนักศึกษากลุ่มนั้นไปเสียให้พ้น ๆ
เพราะ อาจารจานที่
ฉันเป็นเจ้าของอยู่ตรงหน้าเริ่มที่จะมีกลิ่นบูดขึ้นมาตามอารมณ์ของฉันเสียแล้วชี
นึกอยากจะลุกขึ้นแสดงตัวว่าเป็นอาจารย์นะ
ท่านนักศึกษาจะได้นึกเกรงใจบ้าง
แต่ก็ได้แต่นึกเท่านั้น เพราะหนึ่งในจำนวนนักศึกษากลุ่มนั้น
ก็ได้เข้ามาสะกิดฉันที่หัวไหล่ พร้อมกับพูดขึ้นว่า "พื่ พื่เมื่อไหร่พี่จะกินเสร็จเสียทีล่ะ
โต๊ะตัวนี้พวกเราจองกันเอาไว้แล้วนะ นี่ก็รอพื่ตั้งนานแล้ว ไม่เห็นพิ่มีทีท่าจะลุกเสียที
พวกเราเลยลุกมาบอก ถ้าพี่จะรอพบใครละก็
กรุณาเลื่อนไปนั่งที่โต๊ะอื่นนะพี่นะ "
ท่านนักศึกษาผู้นั้นกล่าวอย่างมีอารมณ์ค่อนข้างดี ฉันเห็นท่าทางของเขาแล้ว
เกรงว่าจะต้องเสียเลือดเสียเนื้อเพราะในสมัยนี้นักศึกษาเขาอาจโมโหถึงขั้นอาละวาดไว้
เพราะเขายังใช้คำว่าแกเมื่อกล่าวถึงอาจารย์ทุกคำ
เหมือนกับสรรพนามที่ฉันเคยได้ยินในละครโทรทัศน์ที่เป็นพวกละครย้อนยุคเรื่องหนึ่ง
เมื่อ ท่านเจ้าคุณ หรือคุณหญิงพูดกับบ่าวของท่าน
ฉันเลยต้องกลับมานึกทบทวนคำสรรพนามที่ใช้แทนพวกเขา
แล้วก็ได้ข้อสรุปที่เป็นตรรกวิทยา ว่า น่าจะต้องใช้คำว่า ท่าน
จึงจะสอดคล้องกันดี คิดได้เช่นนั้นแล้ว
ฉันก็เลยรีบหอบข้าวหอบของที่มีติดตัวมา อย่างรุกรี้รุกรน
พร้อมทั้งกล่าวขออภัยท่านนักศึกษาที่เข้ามาก้าวก่ายสิทธิอันชอบธรรมของเขา
ฉันหรือจะมีปัญญาอะไรไปโต้แย้งกับเขาได้
เพราะพวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่ที่รู้อะไรดีอะไรชอบแล้ว
แล้วที่สำคัญที่สุดเขามีสิทธิ์ไปเลือกตั้ง ส. ส. ฯลฯ แล้วด้วย
ฉันรีบเดินออกไปจากที่นั้นโดยเร็ว
ด้วยเกรงว่าจะเกิดไปสบตาเข้ากับคนใดคนหนึ่งแต่ฉันก็เดินไม่เร็วเท่าที่ใจปรารถนา
เพราะยังอุตส่าห์ได้ยินเสียงของนักศึกษากลุ่มนั้นดังไล่ตามหลัง
มาอีกว่า
"เฮ้ย ใช่อาจารย์คนที่สอนพวกเราเมื่อชั่วโมงที่แล้วหรือเปล่าวะ คลับคล้ายคลับคลาว่ะ"
|