หลงภาษาเซ้าซี้ (South
Sea)
เมื่อไม่นานมานี้สามีของฉันได้รับคำสั่งจากทางราชการให้ย้ายไปรับตำแหน่งใหม่ที่ที่จังหวัดหนึ่งในแถบภาคใต้
จึงทำให้ฉันจำจะต้องโยกย้ายวิกสอนมาสอนที่สถาบัน
ฯในเครือ
ที่มีประจำอยู่ที่จังหวัดเดียวกันนี้
เพื่อน
ๆ
ร่วมสถาบันเดิม ต่างพากันห่วงใย ด้วยเกรงว่าฉันหลงภาษาเซ้าซี้จนโงหัวไม่ขึ้น
ครั้งแรกฉันไม่เข้าใจว่ามันคือภาษาอะไร
แต่เมื่อมีผู้สามารถแปลให้ความกระจ่างได้ว่ามันคือภาษาถิ่นใต้
ฉันจึงตอบให้เพื่อนสบายใจว่า อย่าเป็นกังวลเลย
ฉันจะพยายามพูดกรุงเทพเข้าไว้เพื่อเป็นการแสดงว่าฉันยังรักภาษาถิ่นกลางอย่างไม่รู้ลืมเลยทีเดียว
ขอให้เพื่อนสบายใจไปได้อย่าได้เป็นห่วง
เมื่อย้ายมาใหม่
ๆ สามีเห็นว่ายังไม่ชำนาญเส้นทางจึงให้ยืมคนขับรถมาขับรถให้ช้พร้อมทั้งกำชับกำชาให้ฉันพยายามจำทางที่จะไปสถาบันฯให้ได้
เพื่อที่จะได้ขับรถไปสอนเองได้ไม่ต้องพึ่งคนขับรถของหลวง
หลังจากที่ได้พยายามที่จะจำทางให้ได้อยู่ประมาณ
1
สัปดาห์ ฉันก็ต้องยอมรับกับตนเองว่า ค่อนข้างจะสับสน
เพราะหนทางทั้งไปและกลับค่อนข้างจะไม่คงที่และแน่นอน
แต่ที่แน่
ๆ
ระหว่างทางคนขับรถมักจะแวะเวียนหยุดรถเพื่อทำกิจธุระต่าง
ๆ
ไปตลอดทาง ซึ่งน่าเบื่อมาก
แต่อะไรก็ไม่น่ารำคาญเท่ากับเขามักจะถามทันทีก่อนออกรถด้วยสำเนียงชาวใต้เสมอว่า คุณนาย
แคบไม๊ในตอนแรก
ๆ ฉันก็จะตอบด้วยสำเนียงเน่อ
ๆ ของชาวเมืองชล
ว่า ไม่แคบหรอกจ้ะ
นั่งสบายดี
เมื่อถูถามอยู่หลายวัน
ประกอบฉันก็เริ่มรู้สึกว่าการเดินทางไปสถาบันเริ่มมีหลาย
stop
มากขึ้น ฉันคิดในใจว่าความแคบน่ะฉันไม่สนดอก
แต่สนว่าทำไมจึงหยุดแวะเวียนทำธุระมากมายขนาดนี้
ฉันอยากถึงที่ทำงานได้เร็วกว่านี้
บางคราวมากใจถึงขนาดขอเอาลูกโดยสารไปด้วยและแวะส่งลูกที่โรงเรียนให้ฉันนั่งรอเสียอีก บางทีก็หยุดแวะที่ตลาดเพื่อซื้อของซึ่งฉันก็ต้องนั่งรออีก
และทุกครั้งจะหันมาย้ำถามเสมอว่า แคบไหม เล่นถามบ่อย ๆ ก็ทำให้ฉันขักฉุนขึ้นมาเหมือนกัน
ในที่สุดฉันทนรำคาญไม่ไหวจึงย้อนตอบกลับคำถามที่ว่า แคบไหม ไปว่า
รถก็อีคันเดิมมันจะยืดจะหดได้อย่างไร ถามอยู่ได้ว่า
แคบไหม
เมื่อทนไม่ไหวจริง
ๆ ฉันจึงเล่าพฤติกรรมของคนขับรถให้เพื่อน ๆ
อาจารย์ฟังเพื่อขอคำแนะนำว่าควรทำอย่างไรดี
ทุกคนพากันหัวเราะอย่างขำขันก่อนที่จะบอกว่าฉันได้เข้าสู่กับดักของภาษาเข้าให้แล้ว
เพราะคำที่เป็นตัวปัญหา คือ
แคบ
นี้เป็นคำที่มีความหมายว่า
รีบเร่ง
ดังนั้นเมื่อฉันบอกว่าไม่รีบ
คนขับรถตัวแสบก็เลยถือโอกาสขับรถพาคุณนายตะเวนจอดแวะตลอดทาง
เพื่อนคนหนึ่งเสริมว่า
พวกเราก็เกือบจะตกรถทัวร์เพราะบอกคนขับรถที่จะพาไปส่งสถานีว่า
ไม่แคบนี้แหละ
จะว่าคนขับรถก็ไม่ได้ คุนนายอยากบอกว่าไม่รีบร้อน
ก็เหมือนกับอนุญาตให้เขาจอดแวะทำกิจกรรมต่าง ๆ ตลอกเส้นทางน่ะซี
จากวันนั้นมาฉันก็ระวังตัวในการใช้ภาษาพื้นเมืองจนไม่กล้าที่จะรับคำใครง่าย ๆ
แต่แล้วฉันก็ติดกับดักภาษาเข้าให้อีกจนได้
เมื่อเมื่อมีนักศึกษามาลงชื่อขอนัดสอบปากเปล่า
กับฉันโดยเขียนลงในใบนัดว่า
ขอสอบเวลา
ตี
1
ฉันรู้สึกโกรธมากที่นักศึกษาไม่รู้จักเกรงใจอาจารย์บ้างเลย
ใจคอจะไม่ให้พักผ่อนกันเลยหรือนี่
และเพื่อไม่ให้ต้องเก็บความโกรธไว้กับตัวคนเดียวฉันจึงบ่นออกมาดัง
ๆ ว่า
นักศึกษาเซ้าซี้นี้เขานัดอาจารย์ให้มาสอบตอนตี 1 ได้ด้วยหรือ
ให้มาคนเดียวเถอะฉันไม่มาด้วยท่าจะบ้ากันใหญ่แล้ว
เพื่อนๆเกรงว่าฉันจะโวยวายไปมากกว่านี้จึงรีบชิงกันอธิบายว่า "ตี 1 น่ะที่นี่เขาหมายถึงบ่ายโมงน่ะพี่
คิดมากไปได้" ก็เล่นเรียกเวลาเป็นตี ๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน แล้วก็ไม่บอก
ใครจะไปรู้ล่ะ
เพื่อนอีกคนหนึ่งคงเห็นฉันเครียดจึงรีบเล่าเรื่องที่เธอเองก็ติดกับดักภาษามาแล้วเหมือนกัน
ซึ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ เธอเล่าเมื่อมาอยู่ใหม่ ๆ
โดยจัดเป็นแบ่งออกเป็นเขตในการสำรวจนี้ให้เก็บข้อมูลที่ปรากฏห้มากที่สุด
โดยเฉพาะพืชและพันธุ์ไม้ต่าง ๆ จากนั้นให้แค่ละกลุ่มนำมารายงาน
ฉันรู้สึกแปลกใจมากว่าทุกลุ่มรายงานว่าในสถาบันนี้มีต้น
ไหล่โช้
ขึ้นอยู่มากเหลือเกิน คิดแล้วน่าจะเกิน
80 %
ทีเดียว
สงสัยจะเป็นพืชเศรษฐกิจกระมัง เพราะถามนักศึกษาต่างก็บอกว่า
ไหล่โช้
จริงไม่ได้โกหก ซึ่งก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร การรายงานก็เสร็จสิ้นลง
เธอบอกว่าพอมารู้ทีหลังว่า อีต้นไหร่โช้ ก็คือต้นไม่อะไรไม่รู้ ภายหลัง
ทำให้เธอต้องกลับไปแก้แค้น ให้ทำการสำรวจใหม่ ตอนนี้ถ้าใครมีต้นไหล่โช้มาละก็
อย่าหาว่าใจร้าย เธอบอกว่าไม่ทุบนักศึกษาให้คนละอีกก็นีถมไปแล้ว
การติดกับดักคราวนี้ทำให้เธอแทบจะเสียการทรงตัวไปเลยทีเดียว งั้นนี่เล่านักศึกษาหลายคนทำท่างง
ๆ เมื่อเธอชมว่านักศึกษาทุกกลุ่มรายงานได้ดีมาก
และเพื่อเป็นการแก้แค้นเป็นไปอย่างต่อเนื่อง เธอจึงตั้งขื่อรุุ่นให้นักศึกษาห้องนี้ว่า
ไอ้รุ่นไหล่โช้
ซึ่งนักศึกษากลับเห็นว่าชื่อน่ารักไปอีกแบบหนึ่ง
"
ไปกินข้าวกันเถอะ เนือยแล้ว" เพื่อนคนหนึ่งกล่าวขึ้น หลังจากจบการสนทนาบ่น
"
แม่คนนี้ก็เหมือนกัน มาแปลก เหนื่อยทีไร กินทุกที ถึงได้อ้วนเป็นหมูตอน
กินตอนกำลังเหนื่อย
เดี๋ยวก็จุกตาย"
ฉันบ่นต่ออย่างคนแก่อนามัยที่หวังดี เพราะสำหรับฉันนั้นถ้าเหนื่อยนัก
มักจะกินอะไรไม่ลง เพื่อนที่นั่งข้าง ๆต้องกระซิบแรง ๆ ว่า
"เขาพูดว่า
เนือย แปลว่า หิวย่ะ แม่ไหล่โช้ จะไปกินหรือไม่ไปกิน"
ฉันเพิ่งนึกออกเดี๋ยวนี้เองว่าที่เพื่อนบอกว่าเป็นภาษาเซ้าซี้
ก็เพราะคนที่ไม่รู้ภาษามักจะเซ้าซี้น่ารำคาญเหมือนฉันนี่เอง |