ดร.สุภัททา ปิณฑะแพทย์

Dr.Supatta Pinthapataya

email: supattapin@yahoo.com







หลงภาษาเซ้าซี้ (South Sea)

เมื่อไม่นานมานี้สามีของฉันได้รับคำสั่งจากทางราชการให้ย้ายไปรับตำแหน่งใหม่ที่ที่จังหวัดหนึ่งในแถบภาคใต้    จึงทำให้ฉันจำจะต้องโยกย้ายวิกสอนมาสอนที่สถาบัน   ฯในเครือ   ที่มีประจำอยู่ที่จังหวัดเดียวกันนี้  เพื่อน    ร่วมสถาบันเดิม ต่างพากันห่วงใย  ด้วยเกรงว่าฉันหลงภาษาเซ้าซี้จนโงหัวไม่ขึ้น  ครั้งแรกฉันไม่เข้าใจว่ามันคือภาษาอะไร  แต่เมื่อมีผู้สามารถแปลให้ความกระจ่างได้ว่ามันคือภาษาถิ่นใต้   ฉันจึงตอบให้เพื่อนสบายใจว่า อย่าเป็นกังวลเลย ฉันจะพยายามพูดกรุงเทพเข้าไว้เพื่อเป็นการแสดงว่าฉันยังรักภาษาถิ่นกลางอย่างไม่รู้ลืมเลยทีเดียว    ขอให้เพื่อนสบายใจไปได้อย่าได้เป็นห่วง

 เมื่อย้ายมาใหม่ ๆ      สามีเห็นว่ายังไม่ชำนาญเส้นทางจึงให้ยืมคนขับรถมาขับรถให้ช้พร้อมทั้งกำชับกำชาให้ฉันพยายามจำทางที่จะไปสถาบันฯให้ได้ เพื่อที่จะได้ขับรถไปสอนเองได้ไม่ต้องพึ่งคนขับรถของหลวง หลังจากที่ได้พยายามที่จะจำทางให้ได้อยู่ประมาณ  1 สัปดาห์ ฉันก็ต้องยอมรับกับตนเองว่า ค่อนข้างจะสับสน เพราะหนทางทั้งไปและกลับค่อนข้างจะไม่คงที่และแน่นอน   แต่ที่แน่   ๆ ระหว่างทางคนขับรถมักจะแวะเวียนหยุดรถเพื่อทำกิจธุระต่าง  ๆ ไปตลอดทาง ซึ่งน่าเบื่อมาก แต่อะไรก็ไม่น่ารำคาญเท่ากับเขามักจะถามทันทีก่อนออกรถด้วยสำเนียงชาวใต้เสมอว่า คุณนาย แคบไม๊ในตอนแรก ๆ ฉันก็จะตอบด้วยสำเนียงเน่อ      ของชาวเมืองชล ว่า ไม่แคบหรอกจ้ะ นั่งสบายดี เมื่อถูถามอยู่หลายวัน ประกอบฉันก็เริ่มรู้สึกว่าการเดินทางไปสถาบันเริ่มมีหลาย stop มากขึ้น ฉันคิดในใจว่าความแคบน่ะฉันไม่สนดอก  แต่สนว่าทำไมจึงหยุดแวะเวียนทำธุระมากมายขนาดนี้ ฉันอยากถึงที่ทำงานได้เร็วกว่านี้ บางคราวมากใจถึงขนาดขอเอาลูกโดยสารไปด้วยและแวะส่งลูกที่โรงเรียนให้ฉันนั่งรอเสียอีก บางทีก็หยุดแวะที่ตลาดเพื่อซื้อของซึ่งฉันก็ต้องนั่งรออีก  และทุกครั้งจะหันมาย้ำถามเสมอว่า แคบไหม เล่นถามบ่อย ๆ ก็ทำให้ฉันขักฉุนขึ้นมาเหมือนกัน  ในที่สุดฉันทนรำคาญไม่ไหวจึงย้อนตอบกลับคำถามที่ว่า แคบไหม ไปว่า รถก็อีคันเดิมมันจะยืดจะหดได้อย่างไร ถามอยู่ได้ว่า แคบไหม   

 เมื่อทนไม่ไหวจริง ๆ ฉันจึงเล่าพฤติกรรมของคนขับรถให้เพื่อน ๆ อาจารย์ฟังเพื่อขอคำแนะนำว่าควรทำอย่างไรดี ทุกคนพากันหัวเราะอย่างขำขันก่อนที่จะบอกว่าฉันได้เข้าสู่กับดักของภาษาเข้าให้แล้ว เพราะคำที่เป็นตัวปัญหา คือ แคบ นี้เป็นคำที่มีความหมายว่า รีบเร่ง ดังนั้นเมื่อฉันบอกว่าไม่รีบ คนขับรถตัวแสบก็เลยถือโอกาสขับรถพาคุณนายตะเวนจอดแวะตลอดทาง เพื่อนคนหนึ่งเสริมว่า พวกเราก็เกือบจะตกรถทัวร์เพราะบอกคนขับรถที่จะพาไปส่งสถานีว่า ไม่แคบนี้แหละ  จะว่าคนขับรถก็ไม่ได้ คุนนายอยากบอกว่าไม่รีบร้อน ก็เหมือนกับอนุญาตให้เขาจอดแวะทำกิจกรรมต่าง ๆ ตลอกเส้นทางน่ะซี           

จากวันนั้นมาฉันก็ระวังตัวในการใช้ภาษาพื้นเมืองจนไม่กล้าที่จะรับคำใครง่าย ๆ แต่แล้วฉันก็ติดกับดักภาษาเข้าให้อีกจนได้ เมื่อเมื่อมีนักศึกษามาลงชื่อขอนัดสอบปากเปล่า

กับฉันโดยเขียนลงในใบนัดว่า  ขอสอบเวลา  ตี  1 ฉันรู้สึกโกรธมากที่นักศึกษาไม่รู้จักเกรงใจอาจารย์บ้างเลย  ใจคอจะไม่ให้พักผ่อนกันเลยหรือนี่ และเพื่อไม่ให้ต้องเก็บความโกรธไว้กับตัวคนเดียวฉันจึงบ่นออกมาดัง  ๆ ว่า นักศึกษาเซ้าซี้นี้เขานัดอาจารย์ให้มาสอบตอนตี 1 ได้ด้วยหรือ   ให้มาคนเดียวเถอะฉันไม่มาด้วยท่าจะบ้ากันใหญ่แล้ว   เพื่อนๆเกรงว่าฉันจะโวยวายไปมากกว่านี้จึงรีบชิงกันอธิบายว่า "ตี 1 น่ะที่นี่เขาหมายถึงบ่ายโมงน่ะพี่ คิดมากไปได้" ก็เล่นเรียกเวลาเป็นตี ๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน แล้วก็ไม่บอก ใครจะไปรู้ล่ะ

 เพื่อนอีกคนหนึ่งคงเห็นฉันเครียดจึงรีบเล่าเรื่องที่เธอเองก็ติดกับดักภาษามาแล้วเหมือนกัน ซึ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ เธอเล่าเมื่อมาอยู่ใหม่ ๆ โดยจัดเป็นแบ่งออกเป็นเขตในการสำรวจนี้ให้เก็บข้อมูลที่ปรากฏห้มากที่สุด โดยเฉพาะพืชและพันธุ์ไม้ต่าง ๆ จากนั้นให้แค่ละกลุ่มนำมารายงาน ฉันรู้สึกแปลกใจมากว่าทุกลุ่มรายงานว่าในสถาบันนี้มีต้น ไหล่โช้ ขึ้นอยู่มากเหลือเกิน คิดแล้วน่าจะเกิน 80 % ทีเดียว สงสัยจะเป็นพืชเศรษฐกิจกระมัง เพราะถามนักศึกษาต่างก็บอกว่า ไหล่โช้ จริงไม่ได้โกหก ซึ่งก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร การรายงานก็เสร็จสิ้นลง เธอบอกว่าพอมารู้ทีหลังว่า อีต้นไหร่โช้ ก็คือต้นไม่อะไรไม่รู้ ภายหลัง ทำให้เธอต้องกลับไปแก้แค้น ให้ทำการสำรวจใหม่ ตอนนี้ถ้าใครมีต้นไหล่โช้มาละก็ อย่าหาว่าใจร้าย เธอบอกว่าไม่ทุบนักศึกษาให้คนละอีกก็นีถมไปแล้ว การติดกับดักคราวนี้ทำให้เธอแทบจะเสียการทรงตัวไปเลยทีเดียว งั้นนี่เล่านักศึกษาหลายคนทำท่างง ๆ เมื่อเธอชมว่านักศึกษาทุกกลุ่มรายงานได้ดีมาก และเพื่อเป็นการแก้แค้นเป็นไปอย่างต่อเนื่อง เธอจึงตั้งขื่อรุุ่นให้นักศึกษาห้องนี้ว่า ไอ้รุ่นไหล่โช้ ซึ่งนักศึกษากลับเห็นว่าชื่อน่ารักไปอีกแบบหนึ่ง  

" ไปกินข้าวกันเถอะ  เนือยแล้ว" เพื่อนคนหนึ่งกล่าวขึ้น หลังจากจบการสนทนาบ่น

"  แม่คนนี้ก็เหมือนกัน มาแปลก เหนื่อยทีไร กินทุกที ถึงได้อ้วนเป็นหมูตอน  กินตอนกำลังเหนื่อย  เดี๋ยวก็จุกตาย"  ฉันบ่นต่ออย่างคนแก่อนามัยที่หวังดี เพราะสำหรับฉันนั้นถ้าเหนื่อยนัก มักจะกินอะไรไม่ลง เพื่อนที่นั่งข้าง ๆต้องกระซิบแรง ๆ ว่า

"เขาพูดว่า เนือย แปลว่า หิวย่ะ แม่ไหล่โช้ จะไปกินหรือไม่ไปกิน" ฉันเพิ่งนึกออกเดี๋ยวนี้เองว่าที่เพื่อนบอกว่าเป็นภาษาเซ้าซี้ ก็เพราะคนที่ไม่รู้ภาษามักจะเซ้าซี้น่ารำคาญเหมือนฉันนี่เอง

© Copyright 2005. All rights reserved. Contact: supattapin@yahoo.com