เฮ้อ
แล้วไป
วิทยาลัยที่ฉันสอนอยู่นี้เป็นวิทยาลัยครูที่มีความเก่าแก่มากทั้งชื่อเสียงและตึกเรียน
ถ้าเอ่ยชื่อจะต้องมีคนร้องอ๋อกันเสียงยาวทีเดียว เราคงเอกลักษณ์ของความเก่าโดยเฉพาะอาคารเรียนไว้อย่างเหนียวแน่นเป็นเวลาหลายสิบปี ในบางครั้งฉันยังเผลอคิดว่าตัวเองล่องลอยอยู่ในบรรยากาศของวังโบราณไปด้วย
แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งก็มีผู้คนมากมายเข้ามาที่ตึก
พวกเขามาย้ายข้าวของของพวกเราที่อุตส่าห์สะสมกันมาจนท่วมหัวท่วมหูแทบจะไม่เหลือที่นั่งที่ทำงาน
นัยว่าหลวงเขาให้งบประมาณมาปรับปรุงตึกเรียนให้ดูสว่างไสวเพื่อจะได้ไม่มืดทึมเก่า
ๆ
คล้ายบ้านผีสิง
คนที่ไม่เคยชินกับการโกลาหลแบบนี้ก็จะยืน
เดิน
นั่ง
บ่น
อย่างไม่รู้จักหยุด
ฉันเองก็เตือนเพื่อน
ๆ ว่า
การบ่นจะเป็นการเพิ่มชั่วโมงในการพูด
ที่นอกเหนือไปจากชั่วโมงที่ทางวิทยาลัยจัดให้พูด
(สอน)
และจะทำให้เกิดอาการคออักเสบมากยิ่งขึ้น ดังนั้นกรุณาอย่าบ่นเลย
พวกเราจึงชวนกันเข้ามานั่งในห้องแอร์
ว่าแล้วพวกเราก็จูงมือกันเข้ามานั่งรวมกับเพื่อน
ๆ
ที่ต่างก็พากันหลบความโกลาหลข้างนอก เพื่อมาพักผ่อน
และคลายอิริยาบท
เพื่อนของฉันนั้นเมื่อเข้ามาถึงกลางห้อง
ก็กระแทกตัวลงนั่งพร้อมทั้งพูดงอแงด้วยเสียงอันดังอย่างสุดความอดทนท่ามกลางความเงียบว่า
"โอ็ย
เหม็นสี"
พลันฉันก็ได้ยินเสียง
พรึบ
ดังขื้นมา
ฟังดูคล้ายกับเสียงเข่ากระทบกัน
เมื่อหันไปดูรอบ
ๆ
ก็พบว่าเพื่อนที่นั่งอย่าสบายตัวเอนหลังเอกเขนก
ยกแข้งยกขาอยู่นั้นต่างก็ขยับตัวขึ้นพร้อมกันและนั่งในท่าตัวตรงเข่าชิดกันอย่างเป็นการเป็นงาน เพื่อนคนหนึ่งถามอย่างสงสัยว่า
"อะไรกัน
พอมานั่งอยู่รวม
ๆ
กันหลายคนอย่างนี้
กลิ่นจะออกมาเหม็นขนาดนั้นเชียวหรือ"
เพื่อนผู้เข้ามาใหม่ตอบอย่างหัวเสียเพิ่มขึ้นไปอีกว่า
"ฉันบอกว่าเหม็นสี
เธอคิดว่าฉันบอกว่าเหม็นอะไร
หูหาเรื่องจริง
ๆ"
พอสิ้นเสียงของคนช่างเหม็นทุกคนในห้องก็พากันร้อง
"เฮ้อ
แล้วไป"
แต่หลายคนก็ยังไม่กล้าคลายเข่าออกจากกันอยู่ดี
เมื่อเรื่องสงบลงเพื่อนคนหนึ่งที่ยังไม่ทันหายตกใจกับหูหาเรื่องก็แอบมากระซิบกับฉันว่า
วันก่อนเธอก็ตกใจแทบสิ้นสติไปทีหนึ่งแล้วกับอ้ายคำที่มันค่อนข้างล่อแหลมแบบนี้
ก็จะไม่ให้รู้สึกเช่นนั้นได้อย่างไร
เมื่อมีนักศึกษาชายคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาเธอในขณะที่กำลังนั่งทำงานอยู่ในตึกเก่าหลังนี้ในตอนเย็นโพล้เพล้
พร้อมกับบอกว่า "อาจารย์ครับ
ผีหลอก"
เธอเล่าว่าเธอรู้สึกอายจนแทบจะพลิกแผ่นดินหนี
ให้นึกโกรธตัวเองว่าทำไมจึงนั่งไม่ระวังปล่อยตัวให้ลูกศิษย์เห็นได้
เธอกลั้นใจถามลูกศิษย์ไปว่า
"เธอเห็นจริง
ๆ
หรือ"
พร้อมกับรอคำตอบที่หวาดเสียวหัวใจ
แต่แล้วเธอก็เธอก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อลูกศิษย์ได้ถามเธอขึ้นมาว่า
"อาจารย์ครับ
ผีมีในโลกนี้มีจริงหรือเปล่า"
เฮ้อ
แล้วไป
เมื่อฟังเพื่อน
ๆ
ที่มีหูช่างหาเรื่องแบบนี้
ก็เลยทำให้นึกถึงละครที่มักจะมีเรื่องราว
เกี่ยวกับพี่น้องชาวจีนซึ่งจะมีการนำออกมาแสดงเป็นระยะ
ๆ
และเมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดเป็นละครฮิตติดปาก
ก็มักจะได้ยินเสียงคุยล้อกันด้วย
ภาษาที่ไม่ชัด
อย่างสนุกปาก
จะพูดอะไรก็ทำเสียงเป็น
อากิมลั้ง
หรือ
อาอึ้ม
จนบางครั้งฟังแล้วก็น่ารำคาญ
ฉันยังเตือนเพื่อน
ๆ
ว่า
ระวังเถอะพูดจนเคยปาก
เดี๋ยวเวลาสอนหนังสือนักศึกษาก็จะลืมตัวพูดแบบมงกุฎดอกส้ม
และถ้านักศึกษาเกิดเห็นดีงามพร้อมใจกันพูดเลียนแบบหมดทั้งห้องจะว่าอย่างไร
เพื่อนอีกคนหนึ่งเสริมว่าดีไม่ดีเกิดถ้าเผลอไปพูดกับท่านอธิการบดีเข้า
ท่านจะหาว่าเป็นบ้าจำพวกที่
501
แล้วจะพลอยอดขึ้นขั้นเงินเดือนไปด้วย
ทีนี้ละก็ได้หายเพี้ยนกันไปบ้างหรอก
เพื่อน
ๆ
บอกว่า
ไม่พูดก็ได้แต่ต้องขอประโยคที่ว่า
“ม่ายล่ายหลั่งจาย”
ไว้สักประโยคหนึ่ง
เอาไว้บ่นนักศึกษาสักหน่อย
เพราะได้ความรู้สึกที่มันสะใจดี
แต่ยังไม่ทันข้ามวันที่ฉันขอร้องเพื่อน
ก็ปรากฏว่า
เกิดกรณีวิวาทขึ้นซึ่งทำให้การหยุดพฤติกรรมการใช้ภาษาดอกส้มไปได้อย่างฉับพลัน เรื่องไม่เป็นเรื่องเกิดขึ้นเมื่ออาจารย์ชายท่านหนึ่งเกิดโมโหที่ถูกเรียกว่า
“อาเฮีย”
อาจารย์ชายท่านนั้นบ่นอย่างหัวเสียว่า
"
มาด่าผมทำไม
ไม่รักแล้วทำไมต้องด่ากันด้วย"
อาจารย์หญิงคนที่ถูกกล่าวหาก็งง
เนื่องจากไม่รู้ว่าตนเองไปด่าเขาตั้งแต่เมื่อไร
จากการสอบสวนจึงได้รู้ว่า
อาจารย์หญิงท่านนี้เธอเกิดนึกสนุกตะโกนเรียกอาจารย์ชายท่านที่มาจีบเธอคนนี้ว่า
อาเฮีย “ทำไมเขาจึงโกรธหนูล่ะเขาฟังว่าเป็นอะไรล่ะพี่" เธอถามอย่างคนอินโนเซนต์
ก็แม่เจ้าประคุณเสียงออกแหลมคมปานนั้นมันก็เลยทำให้ฟังเป็นอย่างอื่นน่ะซี
ดีที่ฉันห้ามศึกไว้ทันว่าอย่าได้ไปตะโกนเรียกเขาอย่างนั้นอีก
ไม่งั้นไม่ได้จีบกันต่อจนได้ลงเอยกันแบบแฮปปี้เอนดิ้งหรอก
ในวันแต่งงานของพวกเขาฉันยังได้ถือโอกาสตักเตือนและสั่งสอนว่ากรุณาอย่าลืมที่ฉันสั่งไว้ว่าห้ามเรียกสามีว่า
อาเฮีย
อีกเป็นอันขาดถ้าเสียงของเธอยังแหลมคมเช่นนี้
ซึ่งเธอก็รับคำโดยดี
ความจริงฉันเองก็เคยเข้าใจผิดอาซิ้มที่อยู่ข้างบ้านของฉันในสมัยที่ฉันยังเป็นนักศึกษาอยู่เหมือนกัน
กว่าจะเข้าใจว่าแกพูดว่าอะไรก็ทำให้จิตใจคิดอกุศลปนกิเลศอยู่นาน
ก็จะไม่ให้คิดเช่นนั้นได้อย่างไร
แกเล่นตะโกนเรียกลูกชายของแกว่า
"อาโซ๊ยตี๋
โอ็ย
ๆ "
เสมอ
ฉันยังนึกในใจว่า
อาซิ๊มคนนี้แกช่างพูดจาหยาบคายเสียจริง
เรียกลูกด้วยคำที่ไม่สุภาพ
แต่ก็แปลกที่ลูกชายกลับวิ่งมากอดแม่คลอเคลียดูน่ารัก
แล้วสองคนแม่ลูกก็ดูมีความรักใคร่เป็นสุขกันดี
หรือว่าลูกชายของแกเคยชินกับคำเรียกเช่นนี้จนถือว่าเป็นชื่อเล่นที่มีความไพเราะดี
ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะเพียงแค่ฉันได้ยินเสียงเรียกฉันก็สะดุ้งแล้ว
ถ้ามาเรียกฉันอย่างนี้ฉันไม่ยอมแน่
ๆ
เลย
ถึงจะเรียกด้วยความรักก็เถอะ
เพราะมันสุดวิสัยที่จะรับได้
แต่เมื่อมารู้ความจริงว่า
คำว่า
โซ๊ยตี๋นั้นหมายถึง
ลูกชายคนที่สาม
(เพื่อนบอก)
ในภาษาจีน
เขาไม่ได้เรียกลูกชายเขาว่า
ส้น....อะไร
ที่หูหาเรื่องของฉันได้ยินสักหน่อย
ก็เลยทำให้หายคับข้องใจไป
แต่อย่างไรก็ตามเพื่อนฉันก็ยังอดที่จะหันกลับมาแขวะฉันอย่างหมั่นไส้เสียไม่ได้ว่า
"เธอน่ะเป็นโซ๊ยตี๋ไม่ได้หรอก
หน้าจีนแบบเธอเป็นได้แต่โซ๊ยหมวยเท่านั้นแหละ”
ก็นับว่าเป็นโชคดีของฉันและเพื่อนหญิงในโลกนี้ทุกคนที่ไม่มีโอกาสที่จะได้เป็นโซ๊ยตี๋
และถ้าฉันเป็น
ส.ส.
หญิง
ใครจะมาหาว่าฉันวิ่งไข่ห้อยก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน
แม้ว่าหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งจะแปลความว่าเป็นภาษาพื้นเมือง
(เมืองไหนก็ไม่ยักกะบอก)
ที่มีความหมายคล้าย
ๆ
กับคำว่า
ลิ้นห้อยก็ตาม
เพราะมันเป็นไปไม่ได้...ค่า
|