ดร.สุภัททา ปิณฑะแพทย์

Dr.Supatta Pinthapataya

email: supattapin@yahoo.com







เฮ้อ แล้วไป

วิทยาลัยที่ฉันสอนอยู่นี้เป็นวิทยาลัยครูที่มีความเก่าแก่มากทั้งชื่อเสียงและตึกเรียน  ถ้าเอ่ยชื่อจะต้องมีคนร้องอ๋อกันเสียงยาวทีเดียว เราคงเอกลักษณ์ของความเก่าโดยเฉพาะอาคารเรียนไว้อย่างเหนียวแน่นเป็นเวลาหลายสิบปี  ในบางครั้งฉันยังเผลอคิดว่าตัวเองล่องลอยอยู่ในบรรยากาศของวังโบราณไปด้วย 

แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งก็มีผู้คนมากมายเข้ามาที่ตึก พวกเขามาย้ายข้าวของของพวกเราที่อุตส่าห์สะสมกันมาจนท่วมหัวท่วมหูแทบจะไม่เหลือที่นั่งที่ทำงาน นัยว่าหลวงเขาให้งบประมาณมาปรับปรุงตึกเรียนให้ดูสว่างไสวเพื่อจะได้ไม่มืดทึมเก่า    คล้ายบ้านผีสิง คนที่ไม่เคยชินกับการโกลาหลแบบนี้ก็จะยืน  เดิน นั่ง บ่น อย่างไม่รู้จักหยุด  ฉันเองก็เตือนเพื่อน  ว่า  การบ่นจะเป็นการเพิ่มชั่วโมงในการพูด ที่นอกเหนือไปจากชั่วโมงที่ทางวิทยาลัยจัดให้พูด (สอน) และจะทำให้เกิดอาการคออักเสบมากยิ่งขึ้น ดังนั้นกรุณาอย่าบ่นเลย พวกเราจึงชวนกันเข้ามานั่งในห้องแอร์  ว่าแล้วพวกเราก็จูงมือกันเข้ามานั่งรวมกับเพื่อน ที่ต่างก็พากันหลบความโกลาหลข้างนอก เพื่อมาพักผ่อน และคลายอิริยาบท เพื่อนของฉันนั้นเมื่อเข้ามาถึงกลางห้อง ก็กระแทกตัวลงนั่งพร้อมทั้งพูดงอแงด้วยเสียงอันดังอย่างสุดความอดทนท่ามกลางความเงียบว่า  "โอ็ย  เหม็นสี พลันฉันก็ได้ยินเสียง พรึบ ดังขื้นมา ฟังดูคล้ายกับเสียงเข่ากระทบกัน เมื่อหันไปดูรอบ    ก็พบว่าเพื่อนที่นั่งอย่าสบายตัวเอนหลังเอกเขนก ยกแข้งยกขาอยู่นั้นต่างก็ขยับตัวขึ้นพร้อมกันและนั่งในท่าตัวตรงเข่าชิดกันอย่างเป็นการเป็นงาน เพื่อนคนหนึ่งถามอย่างสงสัยว่า

"อะไรกัน พอมานั่งอยู่รวม กันหลายคนอย่างนี้ กลิ่นจะออกมาเหม็นขนาดนั้นเชียวหรือ เพื่อนผู้เข้ามาใหม่ตอบอย่างหัวเสียเพิ่มขึ้นไปอีกว่า "ฉันบอกว่าเหม็นสี  เธอคิดว่าฉันบอกว่าเหม็นอะไร หูหาเรื่องจริง " พอสิ้นเสียงของคนช่างเหม็นทุกคนในห้องก็พากันร้อง  "เฮ้อ  แล้วไป แต่หลายคนก็ยังไม่กล้าคลายเข่าออกจากกันอยู่ดี 

เมื่อเรื่องสงบลงเพื่อนคนหนึ่งที่ยังไม่ทันหายตกใจกับหูหาเรื่องก็แอบมากระซิบกับฉันว่า วันก่อนเธอก็ตกใจแทบสิ้นสติไปทีหนึ่งแล้วกับอ้ายคำที่มันค่อนข้างล่อแหลมแบบนี้  ก็จะไม่ให้รู้สึกเช่นนั้นได้อย่างไร   เมื่อมีนักศึกษาชายคนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาเธอในขณะที่กำลังนั่งทำงานอยู่ในตึกเก่าหลังนี้ในตอนเย็นโพล้เพล้  พร้อมกับบอกว่า  "อาจารย์ครับ ผีหลอก" เธอเล่าว่าเธอรู้สึกอายจนแทบจะพลิกแผ่นดินหนี ให้นึกโกรธตัวเองว่าทำไมจึงนั่งไม่ระวังปล่อยตัวให้ลูกศิษย์เห็นได้ เธอกลั้นใจถามลูกศิษย์ไปว่า "เธอเห็นจริง หรือ" พร้อมกับรอคำตอบที่หวาดเสียวหัวใจ แต่แล้วเธอก็เธอก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อลูกศิษย์ได้ถามเธอขึ้นมาว่า "อาจารย์ครับ ผีมีในโลกนี้มีจริงหรือเปล่า" เฮ้อ แล้วไป  

เมื่อฟังเพื่อน    ที่มีหูช่างหาเรื่องแบบนี้ ก็เลยทำให้นึกถึงละครที่มักจะมีเรื่องราว เกี่ยวกับพี่น้องชาวจีนซึ่งจะมีการนำออกมาแสดงเป็นระยะ   และเมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดเป็นละครฮิตติดปาก  ก็มักจะได้ยินเสียงคุยล้อกันด้วย  ภาษาที่ไม่ชัด  อย่างสนุกปาก จะพูดอะไรก็ทำเสียงเป็น อากิมลั้ง  หรือ  อาอึ้ม  จนบางครั้งฟังแล้วก็น่ารำคาญ ฉันยังเตือนเพื่อน ว่า ระวังเถอะพูดจนเคยปาก  เดี๋ยวเวลาสอนหนังสือนักศึกษาก็จะลืมตัวพูดแบบมงกุฎดอกส้ม และถ้านักศึกษาเกิดเห็นดีงามพร้อมใจกันพูดเลียนแบบหมดทั้งห้องจะว่าอย่างไร เพื่อนอีกคนหนึ่งเสริมว่าดีไม่ดีเกิดถ้าเผลอไปพูดกับท่านอธิการบดีเข้า ท่านจะหาว่าเป็นบ้าจำพวกที่ 501 แล้วจะพลอยอดขึ้นขั้นเงินเดือนไปด้วย ทีนี้ละก็ได้หายเพี้ยนกันไปบ้างหรอก เพื่อน บอกว่า ไม่พูดก็ได้แต่ต้องขอประโยคที่ว่า ม่ายล่ายหลั่งจาย ไว้สักประโยคหนึ่ง เอาไว้บ่นนักศึกษาสักหน่อย เพราะได้ความรู้สึกที่มันสะใจดี  แต่ยังไม่ทันข้ามวันที่ฉันขอร้องเพื่อน ก็ปรากฏว่า เกิดกรณีวิวาทขึ้นซึ่งทำให้การหยุดพฤติกรรมการใช้ภาษาดอกส้มไปได้อย่างฉับพลัน  เรื่องไม่เป็นเรื่องเกิดขึ้นเมื่ออาจารย์ชายท่านหนึ่งเกิดโมโหที่ถูกเรียกว่า อาเฮีย อาจารย์ชายท่านนั้นบ่นอย่างหัวเสียว่า  " มาด่าผมทำไม ไม่รักแล้วทำไมต้องด่ากันด้วย" อาจารย์หญิงคนที่ถูกกล่าวหาก็งง เนื่องจากไม่รู้ว่าตนเองไปด่าเขาตั้งแต่เมื่อไร จากการสอบสวนจึงได้รู้ว่า  อาจารย์หญิงท่านนี้เธอเกิดนึกสนุกตะโกนเรียกอาจารย์ชายท่านที่มาจีบเธอคนนี้ว่า อาเฮีย ทำไมเขาจึงโกรธหนูล่ะเขาฟังว่าเป็นอะไรล่ะพี่เธอถามอย่างคนอินโนเซนต์  ก็แม่เจ้าประคุณเสียงออกแหลมคมปานนั้นมันก็เลยทำให้ฟังเป็นอย่างอื่นน่ะซี ดีที่ฉันห้ามศึกไว้ทันว่าอย่าได้ไปตะโกนเรียกเขาอย่างนั้นอีก   ไม่งั้นไม่ได้จีบกันต่อจนได้ลงเอยกันแบบแฮปปี้เอนดิ้งหรอก   ในวันแต่งงานของพวกเขาฉันยังได้ถือโอกาสตักเตือนและสั่งสอนว่ากรุณาอย่าลืมที่ฉันสั่งไว้ว่าห้ามเรียกสามีว่า อาเฮีย อีกเป็นอันขาดถ้าเสียงของเธอยังแหลมคมเช่นนี้ ซึ่งเธอก็รับคำโดยดี

ความจริงฉันเองก็เคยเข้าใจผิดอาซิ้มที่อยู่ข้างบ้านของฉันในสมัยที่ฉันยังเป็นนักศึกษาอยู่เหมือนกัน  กว่าจะเข้าใจว่าแกพูดว่าอะไรก็ทำให้จิตใจคิดอกุศลปนกิเลศอยู่นาน  ก็จะไม่ให้คิดเช่นนั้นได้อย่างไร แกเล่นตะโกนเรียกลูกชายของแกว่า "อาโซ๊ยตี๋  โอ็ย " เสมอ ฉันยังนึกในใจว่า อาซิ๊มคนนี้แกช่างพูดจาหยาบคายเสียจริง  เรียกลูกด้วยคำที่ไม่สุภาพ แต่ก็แปลกที่ลูกชายกลับวิ่งมากอดแม่คลอเคลียดูน่ารัก   แล้วสองคนแม่ลูกก็ดูมีความรักใคร่เป็นสุขกันดี หรือว่าลูกชายของแกเคยชินกับคำเรียกเช่นนี้จนถือว่าเป็นชื่อเล่นที่มีความไพเราะดี ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะเพียงแค่ฉันได้ยินเสียงเรียกฉันก็สะดุ้งแล้ว ถ้ามาเรียกฉันอย่างนี้ฉันไม่ยอมแน่ เลย ถึงจะเรียกด้วยความรักก็เถอะ เพราะมันสุดวิสัยที่จะรับได้ แต่เมื่อมารู้ความจริงว่า  คำว่า โซ๊ยตี๋นั้นหมายถึง ลูกชายคนที่สาม (เพื่อนบอก) ในภาษาจีน เขาไม่ได้เรียกลูกชายเขาว่า ส้น....อะไร ที่หูหาเรื่องของฉันได้ยินสักหน่อย ก็เลยทำให้หายคับข้องใจไป   แต่อย่างไรก็ตามเพื่อนฉันก็ยังอดที่จะหันกลับมาแขวะฉันอย่างหมั่นไส้เสียไม่ได้ว่า "เธอน่ะเป็นโซ๊ยตี๋ไม่ได้หรอก หน้าจีนแบบเธอเป็นได้แต่โซ๊ยหมวยเท่านั้นแหละ ก็นับว่าเป็นโชคดีของฉันและเพื่อนหญิงในโลกนี้ทุกคนที่ไม่มีโอกาสที่จะได้เป็นโซ๊ยตี๋ และถ้าฉันเป็น .. หญิง ใครจะมาหาว่าฉันวิ่งไข่ห้อยก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แม้ว่าหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งจะแปลความว่าเป็นภาษาพื้นเมือง (เมืองไหนก็ไม่ยักกะบอก) ที่มีความหมายคล้าย กับคำว่า ลิ้นห้อยก็ตาม เพราะมันเป็นไปไม่ได้...ค่า

 

© Copyright 2006. All rights reserved. Contact: supattapin@yahoo.com