นินทาจ๋าจ้ะ
มนุษย์ได้ขื่อว่าเป็น "สัตว์สังคม"
ก็เพราะชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม
และเมื่อมีการรวมกลุ่มก็จะต้องมีการพูดคุยกัน ถ้าไม่ตาบอด หูหนวก และเป็นใบ้
ทั้งกลุ่ม ส่วนเรื่องที่นำมาพูดคุยกันนั้นก็มีหลายเรื่อง หลายประการ
แต่เรื่องที่ทำให้การพูดคุยออกรสออกชาติและเป็นที่สนอกสนใจของผู้ฟังก็คงจะไม่มีอะไรมาเทียบเทียมการพูดเรื่องของคนอื่น
ที่ไม่ใช่เรื่องของเรา แต่เรานึกว่าใช่
ก็เลยนำมาเล่าให้รู้กันโดยทั่วๆกัน ถ้ามีโอกาส
ซึ่งการกระทำเช่นนี้ได้มีการบรรญัติในพจนานุกรมว่าการเล่าเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตนให้คนอื่นฟัง
ว่า " การนินทา" คำ ๆ
นี้เป็นคำที่มีความหมายที่ค่อนข้างจะเป็นลบ คือ ไม่ดี
ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมในเชิงจริยธรรม ทั้งยังเป็นพฤติกรรมต้องห้าม
ไม่เป็นที่น่ายกย่องสรรเสริญ ไม่น่าคบหาสมาคม รวมทั้งไม่น่าไว้วางใจด้วย
คนพวกนี้มักจะมีฉายาว่า " ปากบอน" "
ปากกระโถน" " ปากหอยปากปู"
ฯลฯ
ความจริงแล้วการที่จะสังเกตพฤติกรรมของคนว่ากำลังเล่า หรือเม้าหรือ นินทา
เรื่องของคนอื่นกันนั้นทำได้ไม่ยาก
เนื่องคนที่ทำพฤติกรรมมักจะรู้ตัวและยังตระนักด้วยว่าตัวเองกำลังทำในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร
ดังนั้นคนที่ทำกำลังพฤติกรรมนี้จึงมีปากัปกิริยาที่ดูออกจะแปลก ๆ อยู่ชอบกล
เช่น:
1.
สายตาของผู้ที่กำลังนินทาผู้อื่นอยู่นั้นมักจะกลอกกลิ้งไปมา ในลักษณะลอกแล็ก
และจะไม่จับสายตาอยู่ที่คู่สนทนา
เนื่องจากเขาจะต้องระวังระไว
ด้วยเกรงว่าจะมีใครเข้ามาใกล้รัศมีและได้ยินคำนินทา
โดยเฉพาะเจ้าของเรื่องที่กำลังละเลงอย่างสนุกปาก
2.
ผู้ที่กำลังนินทามักจะหยุดเรื่องที่กำลังพูดอย่างกะทันหันและเปลี่ยนเรื่องพูดในลักษณะที่ตะกุกตะกัก
เอ้อ ๆ อ้า ๆ หือ ๆ อือ ๆ
ในทันทีที่มีคนอื่นโผล่เข้ามาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
3. น้ำเสียงที่พูดมักจะเบากระซิบกระซาบ
แต่ก็จะมีการปรับเปลี่ยนเสียงกระทันหันเมื่อมีสิ่งบ่งชี้ผิดปกติเกิดขึ้น
น้ำเสียงจากที่พูดเบา ๆ ก็จะเป็นการพูดเสียงดังทันที
จนบางครั้งผู้ร่วมฟังหรือลูกคู่ขุนพลอยพยักตกอกตกใจ
เพราะไม่ทันระวังตัวก็มี
4. กลุ่มจะมีอาการของผื้งแตกรังในทันทีที่มีผู้ไม่พึงปะสงค์จะให้ฟัง
แต่พึงประสงค์กล่าวถึงเข้ามาอย่างไม่รู้กาลเทศะ
แต่ก็จะเป็นไปชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น
เพราะถ้าเรื่องที่นินทานั้นยังไม่จบแถมยังเป็นเรื่องที่น่าสนใจด้วยแล้ว
กลุ่มก็จะกลับมารวมตัวกันอีกโดยอัตโนมัติอย่างรวดเร็วในทันทีที่เคลียพื้นที่เรียบร้อย
5. มักจะมีสัญญาณแปลก
ๆ เกิดขึ้นภายในกลุ่มคนฟัง เช่น ทำตากระยิกระยับ เลิกคิ้วโดยไม่มีสาเหตุ
ทำเสียงกระแอม กระไอเหมือนยังกับมีอะไรติดคอขึ้นมาทันที
หรือไม่ก็มีอาการคล้ายอยากที่จะลุกไปที่อื่น กระสับกระส่าย นั่งหรือยืนไม่ติด
คันไม้คันมือ ก็จะไม่ให้มีอาการเช่นว่านั้นได้อย่างไร
ก็คนที่เพื่อนเรากำลังบรรยายสรรพคุณของเขาอยู่นั้นกำลังยืนฟังรวมอยู่ด้วยโดยที่คนบรรยายไม่เห็น
และถ้ายิ่งเป็นเจ้านายด้วยแล้ว
คนที่กำลังฟังนินทาก็เลยต้องถือโอกาสสวัสดีแล้วเลี่ยงออกไปเลย
ครั้งหนึ่งมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น หนอยเจ้าคนเล่ายังทำงง
แล้วถามว่า "มึงไหว้กูทำไมวะ
เล่าให้ฟังแค่นี้ไม่ต้องขอบอกขอบใจกูหรอก"
มีเสียงตอบมาว่า "กูไม่ได้ไหว้มึง
แต่กูไหว้คนที่มึงกำลังนินทา ที่อยู่ข้างหลังมึงนั่นไง"
เรื่องนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหน้าแตกแบบหมอไม่รับเย็บ
และหมอไม่รับที่จะเจรจาด้วยอีกต่างหาก ตัวใครตัวมัน
ความจริงแล้วการนินทาเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ไม่เชื่อลองถามดูก็ได้ว่าใครบ้างที่ไม่เคยนินทาคนอื่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว
รับรองหาไม่ได้แน่นอน
ทั้งนี้เพราะมนุษย์มีความอยากรู้อยากเห็น ชอบสืบเสาะแสวงหาสิ่งต่าง ๆ
ทั้งที่สมควรรู้และไม่สมควรรู้จนเป็นนิสัยแบบไทย ๆ เช่น
อยากรู้แม้กระทั่งว่าใครลงคะแนนให้เบอร์อะไรในคูหาเลือกตั้งโดยการซูมกล้อง
อย่างนี้เขาเรียกว่า “เสือกอยากรู้” แล้วโกหกว่าเอามาประดับไว้เป็นความรู้
แถมยกสุภาษิตว่า “รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม”
ในเรื่องความอยากรู้อยากเห็น
จนกลายมาเป็นสอดรู้สอดเห็นนี้เองทำให้อยากที่จะรับฟังข่าวสารของผู้อื่นบ้างนี้เองทำให้เกิดพฤติกรรมการนินทาขึ้น
ซึ่งหลายคนคิดมันก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรจริงไหม
และการที่ผู้อื่นเล่าข่าวสารต่าง ๆ
ให้ฟังนั้นก็ในบางครั้งก็อาจจะนำผลดีมาสู่ผู้นินทา ผู้ฟังการนินทา
หรือผู้ถูกนินทาก็ได้เช่นกัน
การนินทาหรือการเล่าเรื่องของผู้อื่นนั้นอาจทำให้ได้ข้อคิดเชิงจิตวิทยาสังคมได้เช่นกัน
เช่น
1. การนินทาจะเป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้นินทาและผู้ฟังเรื่องนินทานั้นมีความสนิทสนมกันเป็นอย่างดี
เพราะเวลาที่นินทาใคร เราก็มักจะเกาะกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่น
หาที่ลับตาคนสักแห่งหนึ่งเพื่อการนินทา ถ้าจะยืนก็ต้องยืนอย่างใกล้ชิดกัน
หรือถ้าจะนั่งก็มักจะต้องนั่งแบบแทบจะต้องเอาหัวชนกันเลยทีเดียว
เพราะเวลาจะนินทาผู้นินทามักจะใช้เสียงที่เบามากจนแทบจะกระซิบกันเลยทีเดียวโดยเฉพาะเมื่อถึงตอนสำคัญที่เป็นไคลแม็คซ์ของเรื่องด้วยแล้ว
แทบจะไม่ได้ยินอะไรเลยจนผู้ฟังต้องโกงคอคนยื่น
เงี่ยหูฟังเสียเมื่อยไปเลยไม่รู้ว่าจะกลัวใครได้ยินทั้งๆ
ที่ก็แอบพูดกันอยู่ไม่กี่คนไม่มี
ใครอยู่ในบริเวณนั้นเลยก็ตามที
2.
การนินทาเป็นการแสดงความไว้วางใจของคนหนึ่งที่มอบให้อีกคนหนึ่ง
คนเล่ามักจะบอกคนฟังว่า “รู้แล้วเหยียบให้มิดเลยนะ”
ซึ่งหมายความว่าอย่าเอาไปเล่าต่อนะถ้าไม่จำเป็น
“ถ้าไม่ใช่เธอละก็ฉันไม่เล่าให้ฟังนะเนี่ย”
ซึ่งหมายความว่าเธอเป็นคนหนึ่งในหลาย ๆ คนที่ฉันเลือกที่จะเล่าให้ฟัง
แต่ไม่รู้เป็นอย่างไรเรื่องที่นำมานินทานั้นมักจะเล็ดลอดออกมาได้ทุกทีซีน่า
เพื่อนที่รับฟังคงจะเห็นความจำเป็นที่จะต้องนำไปนินทาต่อกระมัง
3. การนินทาจะทำให้ผู้ฟังรู้เจตคติและค่านิยมของผู้นินทา
ว่ามีความรู้สึกอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบ
เพราะคนที่นินทามักจะสอดแทรกความรู้สึกของตนลงไปในเรื่องที่กำลังนินทานั้น ๆ
ด้วย เป็นประโยชน์ต่อการมีปฎิสัมพันธ์กันเพื่อการนินทา
4.
การนินทาอาจก่อให้เกิดกระบวนการกลุ่มในการที่จะสร้างความเข้าใจใหม่
หรือแก้ความเข้าใจเดิม ๆ ที่ผิด ๆ ถูก ๆ ก็ได้ เช่นเมื่อผู้ฟังนินทาได้รับรู้เรื่องเดียวกันนี้จากอีกทางหนึ่งซึ่งอาจจะมีความแตกต่างของมุมมองกันออก
ก็จะทำให้เกิดการวิเคราะห์ข้อมูลเก่าผนวกเข้ากันกับข้อมูลใหม่
ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้อาจก่อให้เกิดเป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม หรือกลายเป็นคนละเรื่องเดียวกันขึ้นมาก็ได้ใครจะรู้
แต่ถ้าจะให้ดีละก็ขอให้เป็นข้อมูลที่ไม่ทำร้ายจิตใจคนที่ถูกนินทา
จะน่ารักกว่านะ
5.
การนินทาก่อให้เกิดความสุขอิ่มเอิบใจ
ทำให้ได้ข้อมูลของคนอื่นและยิ่งเมื่อรู้ว่าคนอื่นก็มีปัญหาเหมือนกันแม้จะใช่ปัญหาเรื่องเดียวกันก็ตาม
ทำให้คลายความรู้สึกท้อแท้ไปได้บ้าง เพราะไม่ใช่เราคนเดียวที่มีปัญหา
6.
การนินทาเป็นยาคลายความเครียดได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะในยุคของโลกานุวัตร
ซึ่งมีการกระจายช่าวสารโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือเทคโนโลยีสื่อสารราคาแพง
และการที่คนคนหนึ่งมีข้อมูลข่าวสารมากอยู่ในตัวเองแต่ไม่สามารถระบายออกไปให้ใครได้บ้าง
ก็จะเกิดความอึดอัดจนถึงขั้นระเบิด เหมือนเพลงของ
คุณใหม่ เจริญปุระ ที่ร้องว่า
"อัดเอาไว้หัวใจจะระเบิด"
แล้วยิ่งเป็นคนช่างพูดช่างนินทาแล้วด้วย
มันจะเครียดเอาง่าย ๆ นะ จะบอกให้
บางคนถึงกับลงไม้ลงมือฉุดกระชากลากจูงแกมบังคับเพื่อนให้มาช่วยฟังหน่อยเพราะ
อึดอัดทนไม่ไหวแล้ว พอได้เล่าเรื่องนินทาแล้วก็สบายใจ
จากสุภาษิตโบราณที่กล่าวว่า
"การนินทากาเลเหมือนเทน้ำ
ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน แม้องค์พระปฏิมายังราคิน
มนุษย์เดินดินหรือจะสิ้นคนนินทา"
ถ้าคิดได้เช่นนี้แล้วก็จะเห็นได้ว่าความจริงแล้วการนินทาก็ไม่ได้เป็นเรื่องสาหัสสากันอะไรนักหนา
และเราเองก็ไม่สามารถที่จะทำให้มันหายสาบสูญไปจากโลกนี้ได้
ดังนั้นเมื่อไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงการนินทาได้ก็ขอได้โปรดนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันเท่าที่เห็นสมควรก็แล้วกัน
อย่าให้การนินทาของเรานำความสุขมาสู่เรา แต่นำความปวดร้าวไปสู่คนอื่น
เพราะจะเป็นการนำความเดือดร้อนมาสู่ตนเองและผู้อื่นในวันต่อมาได้
เพราะถ้ามันดีจริงเขาคงไม่เอามันใส่ไว้ช่องพฤติกรรมด้านลบหรอก
จึงขอให้มีสติในการนินทาจะได้พาชีวิตให้สุขสันต์ได้ดีไม่ได้รับบาดเจ็บทั้งทางกายและจิตใจทั้งคนนินทาและคนถูกนินา
สวัสดี
|