ผู้บริหารมือใหม่
Developing the Star Performer By Linda A. Hill in Leader to Leader 1999
Frances Hesselbein Paul M. Cohen editors The Drucker Foundation, San
Francisco: Jossey-Bass Publishers 287-299
แปลและเรียบเรียง
โดย
รศ.
ดร.
สุภัททา
ปิณฑะแพทย์
นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่คนที่เคยเป็นแค่พนักงานที่คุ้นเคยกับการทำงานในหน้าที่ของตน
แล้วจู่
ๆ
วันหนึ่ง
ชีวิตการทำงานก็เกิดการเปลี่ยนแปลง
จากที่เคยรับผิดชอบเฉพาะในส่วนของงานที่ทำมารับผิดฃอบในการจัดการและกำหนดแนวทางในการที่จะดำเนินงานให้กับกลุ่มผู้ปฎิบัติงานในหน่วยงาน
และต้องหาแนวทางสร้างพลังจูงใจและจุดประกายให้คนเข้ามาทำตามแนวทางที่วางไว้
ให้ดำเนินไปสู่ความสำเร็จได้
สิ่งเหล่านี้มีความซับซ้อนเกินกว่าที่เคยคิดเอาไว้
โดยเฉพาะในองค์การที่มีการดำเนินงานในแบบที่เป็นแนวราบ
จากการศึกษากรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นในองค์การหนึ่ง
พบว่า
การมองตนเองว่าเป็นผู้สร้างเครือข่าย
และเป็นผู้นำมีพื้นฐานของการมองที่แตกต่างไปจาก
การมองตนว่า
ตนคือใครและตนควรที่จะทำอะไรซึ่งจะเป็นการมองที่เข้าถึงกรอบของปัญหาในแนวที่กว้างในภาพรวมระยะยาวมากกว่า
นักบริหารมือใหม่จึงมักเกิดความรู้สึกว่าต้องอดทน
ทำให้มีความเครียดเกิดขึ้นภายในจิตใจเนื่องจากพบว่านอกจากต้องทำงานตามปกติเหมือนเดิมแล้วยังต้องมีภาระจัดการกับทีมงานให้งานเดินไปได้และยังต้องพยายามทำให้ทุกคนเกิดความรู้สึกพอใจงานด้วย
ในการสัมภาษณ์และสังเกตผู้บริหารมือใหม่
เกือบ
100
คน
ลินดา
ฮิลล์
กล่าวว่า
ในการที่จะเข้าถึงบทบาทของผู้บริหารให้ได้ดีตามข้อเสนอของ
ดักลาส
ฮอลล์
นั้นพบว่ามีปัจจัยที่ต้องเรียนรู้
2
ประการ
คือ
การเรียนรู้เรื่องงาน
และการเรียนรู้เรื่องส่วนตัว
การเรียนเรื่องรู้งานประกอบด้วยการเรียนรู้ศักยภาพในด้านต่าง
ๆ
เช่น
เทคนิค
องค์การ
และความคิดรวบยอด
ซึ่เป็นปัจจัยเพื่อการเป็นผู้บริหารจัดการที่ดี
ส่วนการเรียนรู้เรื่องด้านส่วนตัวนั้น
หมายถึง
การเรียนรู้ทัศนคติ
ความคิด
และค่านิยมที่ยึดติดแน่นอยู่ในการงานที่บริหาร
การเรียนรู้ด้านส่วนตัวนี้มีความยุ่งยากมาก
องค์การมักจะแสดงความคิดว่าเห็นด้วยแต่ก็มักจะไม่ค่อยให้ความสนใจในการที่จะพัฒนาผู้บริหารมือใหม่ในด้านนี้
ในการปฏิบัติหน้าที่นั้นผู้บริหารมือใหม่จะต้องเข้าใจงานที่มีการเปลี่ยนแปลงที่มีความซับซ้อน
4
ด้าน
คือ
1)
การเรียนรู้ความหมายของการเป็นผู้บริหาร
2)
การพัฒนาทักษะการตัดสินที่เกี่ยวข้องระหว่างตัวบุคคล
3)
การจัดการด้านอารมณ์และความเครียด
4)
การเพิ่มความรู้เกี่ยวกับตนเอง
การเป็นผู้บริหารหมายถึงอะไร
การเป็นผู้บริหารหมายถึงการเข้ามาสู่บริบทของความแตกต่างระหว่างสิ่งที่น่าจะเป็นกับสิ่งที่เป็นจริง
ผู้บริหารมือใหม่คนหนึ่งกล่าวว่า
การบริหารจัดการมีความหมายมากกว่าการทำงานตามที่เคยทำกันมาก่อนที่มีการใช้อำนาจและการควบคุม
จากการที่คนหนึ่งเคยเป็นผู้ปฏิบัติงาน
และมีความพร้อมก้าวมาสู่การเป็นผู้บริหาร
รวมทั้งได้รับการฝึกอบรมมามากพอสมควร
ดังนั้นการก้าวเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารจึงได้รับการยอมรับ
ด้วยความคาดหวังสูง
เป็นที่ชื่นชมขององค์การ
แต่หลังจากได้ปฎิบัติงานได้
3
เดือน
ก็จะพบว่า
การเป็นผู้จัดการนั้นไม่ใช่การเป็น
เจ้านาย
แต่เป็นเหมือน
เจ้าบ้าน
มากกว่า
นอกจากนี้ยังพบว่ามีสิ่งที่หน้าสะพึงกลัวซ่อนอยู่ภายในองค์การมากกว่าที่คิด
มันเหมือนกับว่าต้องคอยกลัวว่าจะถูกลักพาตัวไป
ผู้บริหารท่านหนึ่งกล่าวว่า
เขารู้สึกแย่มาก
เนื่องจากเขาเคยรักงานที่เขาทำ
และเพื่อน
ๆ
ก็มักจะเชื่อฟังในสิ่งที่เขาบอก
ทุกคนชอบเขา
แต่ขณะนี้แม้ว่าเขาก็ยังเป็นคนเดิม
แต่เขากลับไม่มีใครฟังและไม่มีใครใส่ใจหรือเห็นใจ
ผู้บริหารจัดการมือใหม่หลายคนก็ยืนยันในรายงานว่าตนก็มีประสบการณ์เช่นนี้เหมือนกัน
ในช่วงการทำงานบุคคลจะอยู่ในฐานะเป็นคนเก่งในด้านปฏิบัติ
จึงมีประสบการณ์ในการทำงานของผู้ปฏิบัติงานบางคนว่าไม่มีศักยภาพ
เฉื่อยชา
หรือคอยโต้แย้งและอยู่ฝ่ายตรงข้าม
ดังนั้นเมื่อเริ่มต้นเป็นผู้บริหารใหม่
ๆ
เขาจึงเน้นการใช้อำนาจสั่งการอย่างเป็นทางการซึ่งก็เป็นสิทธิที่สามารถทำได้เมื่อได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บริหาร
นักบริหารมือใหม่จึงคาดหวังที่จะได้อำนาจการสั่งการเพิ่มขึ้นพร้อมกับความเป็นอิสระในการสั่งการ
แต่ในที่สุดก็ได้ประจักษ์ว่าสิ่งที่ได้รับ
คือ
การได้รับหน้าที่ใหม่ที่มีแต่ความรับผิดชอบและยังต้องพยายามสร้างความสัมพันธ์ใหม่
ๆ
ให้ได้
ดังนั้น
แทนที่จะรู้สึกว่าเป็นอิสระกลับรู้สึกว่าถูกพันธนาการ
จึงทำให้มีความอึดอัดอย่างมาก
โดยเฉพาะเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับความรู้สึกที่ได้รับการยอมรับจากเพื่อนในการเป็นคนเก่งในอดีต
ผู้บริหารมือใหม่จะเริ่มประจักษ์แล้วว่า
การสั่งการเป็นทางการเป็นอำนาจที่ค่อนข้างมีขอบเขตจำกัด
เพราะเมื่อมีการมอบงานหนึ่งให้คนหนึ่งทำ
คนนั้นก็อาจจะวางเฉยแล้วไม่ทำ
หรือไม่มีการตอบสนองใด
ๆ
หรือหลบไปทำงานอื่น
ๆ
ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความลำบากใจสำหรับผู้บริหารที่ต้องรับผิดชอบเต็มตัว
นอกจากนี้ยังพบความเป็นความจริงอีกอย่างหนึ่งว่า
คนที่ทำให้ชีวิตของผู้บริหารดูลำบากก็
คือ
คนในองค์การที่ไม่มีอำนาจที่จะสั่งการใด
ๆ
อย่างเป็นทางการที่ตั้งตัวเป็นผู้นำ
ดังนั้นการเป็นทั้งหัวหน้าและเพื่อนจึงทำให้การบริหาร
คือ
การที่ต้องทำการพูดจาเพื่อให้เกิดความสัมพันธ์เชื่อมโยงโดยให้ทำเหมือนกับว่าเป็นเรื่องเดียวกันกับการสั่งการแบบทางการ
นอกจากนี้ผู้บริหารมือใหม่ต้องเรียนรู้การรับผิดชอบ
2
เรื่อง
คือ
การบริหารทีมงาน
และการจัดการกับบริบทที่ทีมงานทำงานด้วยกัน
นั่นก็คือ
การบริหารภายใต้ขอบข่าย
ที่เป็นความสัมพันธ์ของทีมงานทั้งภายนอกและภายในองค์การ
ผู้บริหารมือใหม่มักจะมองภาพในวงแคบ
จึงมีความผิดพลาดที่มุ่งเน้นแต่เฉพาะทีมงานของตนและศึกษาจากรายงานโดยตรง
แต่ความจริงถ้าไม่มองไปรอบ
ๆ
ทั้งบนและล่างก็จะพบว่า
ทีมงานจะตกอยู่ในสภาพที่ได้รับการคาดหวังที่ไม่ถูกต้อง
ทั้งยังขาดทรัพยากรที่จำเป็นที่จะช่วยการทำงานของทีมด้วย
ดังนั้นการจัดการบริบท
คือการที่จะต้องตระหนักรู้และสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลที่มีความสำคัญในการสนับสนุนงาน
และกับกลุ่มต่าง
ๆ
ที่ทีมจะต้อพึ่งพา
ในฐานะที่เป็นผู้ปฏิบัติมาก่อน
ผู้บริหารมือใหม่มักจะให้ความเอาใจใส่หรืออาจจะวิตกกังวลเฉพาะกับสิ่งที่ตนต้องทำ
แต่ในฐานะผู้บริหารโดยความหมายแล้วทำให้กังวลกับงานของคนอื่นด้วย
และจะต้องสร้างความสมดุลในการแข่งขันในสถานการณ์ที่ซับซ้อนได้
ต้องเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ให้การสนับสนุน
เป็นผู้ที่มีจิตใจที่มั่นคง
ต้องรู้จักสรรหาบุคคลที่จำเป็นในการทำงานและต้องนำกลุ่มให้ทำงานร่วมกันจนไปสู่เป้าหมายและยังจะต้องใช้ความสามารถที่จะต่อสู้ป้องกันกลุ่มผลประโยชน์อื่น
ๆ
โดยไม่ให้เกิดผลเสียต่อการดำเนินงานขององค์การด้วย
การเรียนรู้การตัดสินใจ
ผู้บริหารมือใหม่จะต้องเรียนรู้การจัดการกับบุคคล
ไม่ใช่แค่รู้จักงานเท่านั้น
และจะต้องพัฒนาทักษะการตัดสินที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
ใน
3
ประการ
คือ
1)
สร้างความน่าเชื่อถือมากกว่าที่จะใช้การสั่งการแบบทางการ
2)
สร้างความยินยอมพร้อมใจให้เกิดขึ้นกับผู้ร่วมงานมากกว่าการที่จะแสวงหาวิธีการควบคุม
3)
ใช้การนำเป็นทีมมากกว่าการบริหารจัดการเป็นรายบุคคล
ผู้บริหารมือใหม่ท่านหนึ่งได้เผชิญหน้ากับธรรมชาติของการบริหารการสั่งการและอำนาจของกระบวนการกลุ่มโดยบังเอ้ญ
เมื่อผู้ร่วมงานซึ่งเป็นผู้ที่ทำงานในองค์การมานานเป็นระยะเวลาหนึ่ง
มาขอที่จอดรถที่ว่างอยู่ในที่ลานจอดรถ
และเพื่อที่จะแสดงว่าเป็นผู้บริหารที่ใจดี
ผู้บริหารมือใหม่จึงให้อนุญาต
ทันทีทันใดไม่ทันถึงชั่วโมงก็มีบุคคลท่านหนึ่งซึ่งมีความสำคัญต่อองค์การเพราะเป็นพนักงานที่มีฝีมือทางด้านการขาย
เข้ามาบังคับให้ยกเลิกการอนุญาตนั้น
เพราะเห็นว่าผู้ที่ได้รับการอนุญาตให้ที่จอดนั้นไม่มีความเหมาะสมที่จะได้ที่จอดรถที่นั้นและการตัดสินของผู้บริหารก็เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง
เพราะที่จอดรถที่นั้นเป็นที่ร่ม
เป็นที่ที่แสดงถึงความเป็นผู้มีคุณค่าและมีเกียรติยศซึ่งแสดงเป็นสัญลักษณ์ได้ว่าผู้ที่จะได้ที่จอดรถตรงนั้น
คือผู้ที่มีความสำคัญต่อบริษัท
ผู้บริหารมือใหม่ท่านนั้น
กล่าวว่า
ไม่เคยมีบทเรียนหรือการสอนการตัดสินใจประเภทนี้ในตำราใด
ๆ
เลย
และในความเป็นจริงแล้วเขาเห็นว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระเกินที่จะนำมาใส่ใจด้วยซ้ำ
แต่จากประสบการณ์ในึรั้งนี้ก็ทำให้เขาพบว่าเพื่อความราบรื่นในการบริหาร
เขาจะต้องเริ่มระวังตัวให้มากขึ้นเมื่อต้องพิจารณาและตัดสินในเรื่องที่เกี่ยวกับตัวบุคคลเป็นเฉพาะรายโดยต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อกลุ่มโดยรวมด้วย
ความผิดพลาดของผู้บริหารท่านนี้ก็คือ
บริหารงานโดยให้ความเท่าเทียมกัน
ในการนำทีม
เขาสรุปเดาเอาเองว่าต้องมความสามารถที่จะสร้างความสัมพันธ์แนบแน่นกับแต่ละคนในกลุ่มให้ได้เพื่อจะทำให้งานสำเร็จได้
ภาวะผู้นำในการทำงานเป็นทีม
คือ
ความรับผิดชอบที่รวมทั้งหมดซึ่งหมายถึงความเข้าใจในกระบวนการที่ทำให้เกิดเป็นผลงานของกลุ่มมากว่าที่จะเอาส่วนต่าง
ๆ
แต่ละส่วนมารวมกัน
และกลยุทธ
คือ
การใช้ภาวะผู้นำเพื่อให้เกิดการปฏิบัติงานในระดับสูง
การสร้างวัฒนธรรมของการตกลงร่วมมือร่วมใจที่จะเป็นทีมงาน
ผู้บริหารต้องเข้าใจว่าในแต่ละกลุ่มจะมีผู้นำที่ไม่เป็นทางการร่วมอยู่ด้วย
ผู้ซึ่งมักจะแสดงว่าเป็นผู้ที่มีความยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่เป็นหัวหน้าที่แท้จริง
คนพวกนี้มักจะเป็นคนที่กลุ่มรับฟัง
และมักจะเป็นผู้ถูกนำมาอ้างอิง
ในบางครั้งก็อาจจะเป็นผู้ที่แทรกเข้ามาตัดสินในเรื่องบางเรื่องที่มุกทำให้ยุ่งยาก
คนพวกนี้มักจะมองเห็นว่าการกระของทำตนเช่นนี้เป็นการได้แบ่งอำนาจมาจากผู้บริหารและทำให้เขาได้อำนาจส่วนหนึ่งของผู้บริหารมาครอบครอง
ในการเป็นผู้บริหารมือใหม่จึงต้องมีการพิสูจน์ตนเองในเรื่องนี้
สิ่งที่แสดงชัดเจน
คือ
การมีผู้ร่วมงานเข้าเพื่อขอคำแนะนำ
ซึ่งแสดงถึงความเชื่อและไว้วางใจว่าผู้บริหารจะสามารถหาทางออกให้ได้
ผู้บริหารสามารถให้คำตอบที่พึงพอใจ
และมีข้อมูลที่น่าสนใจ
ดังนั้นการที่มีบุคคลแสดงความเชื่อถือในความสามารถในการตัดสินใจมากเท่าใดก็จะทำให้การแสดงตนเพื่อพิสูจน์ความสามารถด้านการบริหารลดลง
ความไว้วางใจให้ทำหน้าที่ผู้บริหารแสดงออกใน
3
ด้าน
คือ
1) ด้านศักยภาพ
2) ด้านความถูกต้อง
และ
3) ด้านบุคลิกนิสัย
ผู้บริหารที่ต้องการจะทำแต่สิ่งที่ถูกต้อง
และมีอิทธิพลพอที่จะสามารถทำงานได้สำเร็จ
จะได้รับความไว้วางใจ
สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องยากสำหรับภาวะผู้นำ
และเป็นส่วนที่มีความเปราะบางในการบริหารจัดการของผู้บริหาร
ผู้บริหารต้องมีทักษะการมอบหมายงานด้านการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ
การเรียนรู้เพื่อประเมินความไว้วางใจ
ในตัวบุคคลเป็นหลักที่สำคัญ
ผู้บริหารมือใหม่ต้องมีความสามารถในการตัดสิน
ว่าควรจะไว้วางใจใคร
ผู้บริหารต้องตัดสินใจว่าจะมอบหมายผู้ร่วมงานอย่างไรจึงจะเป็นพื้นฐานของการให้ความไว้วางใจ
ถ้ามอบหมายน้อยเกินไปก็จะรู้สึกว่าถูกควบคุมมาก
มอบหมายให้มากเกินไปก็อาจจะรู้สึกว่าถูกปล่อยอิสระเกินไป
ไม่ให้การสนับสนุน
หรือไม่ใส่ใจเพิกเฉย
ผู้บริหารต้องเข้าใจว่าการปฏิบัติต่อบุคคลอย่างเท่าเทียมกัน
ก็คือ
การปฏิบัติที่มีความแตกต่างกัน
การมอบหมายงานในระดับที่พอดีสำหรับพนักงานคนหนึ่งอาจจะไม่ถูกต้องสำหรับอีกคนหนึ่ง
ดังนั้นการบริหารคน
คือ
การบริหารสิ่งที่เป็นข้อขัดแย้งกัน
(paradox)
ดังนั้นผู้บริหารควรใส่ใจในเรื่องของความแตกต่างระหว่างบุคคลและการแสดงตนในการรวมกลุ่ม
และเป้าหมายของการทำงาน
โดยเน้นการปฏิบัติงานและการพัฒนาการเรียนรู้
สร้างความสมดุลระหว่างการใช้อำนาจและความแตกต่างของสมาชิกกลุ่มและการกำกับตนเอง
เพิ่มการรับรู้เกี่ยวกับตนเอง
เมื่อก้าวเข้าสู่การเป็นผู้บริหารความเครียดมักจะเข้ามาเป็นญาติสนิทที่ใกล้ชิด
ผู้บริหารทั้งใหม่และเก่าที่มีประสบการณ์ได้รายงานความรู้สึกเครียดเนื่องจาก
ต้องทำงานหนักขึ้น
มีข้อขัดแย้งและความไม่ลงตัว
และมีการแยกตัวสูง
ส่วนผู้บริหารมือใหม่ซึ่งเป็นผู้ที่ต้องทำหน้าที่เป็นผู้นำใหม่ด้วยมักจะเกิดความไม่แน่ใจเกี่ยวกับคำตอบที่ถูกต้องในสถานการณ์บางสถานการณ์
จึงมักจะทำตัวเป็นนักจิตแพทย์
คือ
รับฟังปัญหาจากการรายงานตรงที่ค่อนข้างดุเดือด
ผู้บริหารท่านหนึ่งกล่าวว่า
ไม่เคยคิดเลยว่าการได้เลื่อนตำแหน่งจะทำให้ได้รับความเจ็บปวดเช่นนี้
ดังนั้นผู้บริหารมือใหม่ต้องเรียนรู้การที่จะควบคุมตนเองและอารมณ์
ไม่เช่นนั้น
ความรู้สึกเครียดและวิตกกังวลจะทำให้การทำงานประจำของทุก
ๆ
วันล้มเหลว
และบางคนก็อยากจะกลับไปอยู่ในสภาพเดิม
ไม่ขอรับเป็นผู้บริหารอีกซึ่งไม่ใช่การตอบโต้ที่สร้างสรรค์
การเรียนรู้การบริหารเป็นเรื่องของการใช้ความคิดและจิตใจ
ในการที่จะนำผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้บริหารมือใหม่ต้องเรียนรู้สิ่งต่าง
ๆ
มากมายเกี่ยวกับผู้คน
เช่น
ค่านิยม
รูปแบบ
ความแข็งแกร่งและความอ่อนแอ
บางคนจะพบว่าตนเองมีความสามารถในอีกด้านหนึ่งแต่ไม่ใช่ด้านที่มีเหตุการณ์อยู่
และนั่นเป็นเวลาที่ต้องถามตนเองว่า
ทำไมฉันจึงมาเป็นผู้บริหาร
ฉันมีความสามารถในตำแหน่งหรือ
และฉันกำลังจะก้าวสู่ตำแหน่งสูงใดได้อีกหรือไม่
คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ผู้นำจะเกิดตระหนักรู้ด้วยตนเอง
เนื่องจากเป็นตัวแบบในด้านบทบาทมักจะมองว่าเป็นเพียงเครื่องมือที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อวัฒนธรรมและผลผลิตของทีมงานเท่านั้น
ดังนั้นการสะท้อนและมองภาพของตนเองภายในเท่านั้นจึงจะทำให้ผู้บริหารรู้จักตนเองและมองตนเองว่ามีผลกระทบต่อบุคคลอื่นอย่างไรบ้าง
การเรียนรู้การนำ
ผู้บริหารมือใหม่ต้องเป็นผู้ที่เรียนรู้ในการนำตนเอง
เพราะในที่สุดแล้วก็คงไม่มีใครที่สามารถจะสอนให้รู้วิธีการบริหารและการนำได้
จึงต้องสอนตนเอง
การเรียนรู้การบริหารจัดการส่วนใหญ่เป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์
จากการได้ลงมือปฏิบัติและการมีการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
ผู้บริหารจะต้องพร้อมที่จะรับผลการสะท้อนกลับเป็นระยะ
ๆ
เกี่ยวกับสิ่งที่ทำ
และรวบรวมผลการตอบสนองกลับ
มาวิเคราะห์
และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมถ้าจำเป็นต้องทำ
สิ่งท้าทายอย่างยิ่ง
คือ
การที่ผู้บริหารจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้คนเดียว
และก์จะพบว่าผู้บริหารมือใหม่ส่วนใหญ่จะรีรอที่จะขอรับความช่วยเหลือเนื่องจากมันเป็นเครื่องแสดงว่า
ไม่มีความสามารถเป็นหัวหน้าได้หรือไม่ใช่เป็นผู้เชี่ยวชาญ
ผู้บริหารท่านหนึ่งกล่าวว่า
เขาจะหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมโครงการฝึกของบริษัทที่จัดให้ความรู้แก่ผู้บริหารมือใหม่
เพราะถ้าบริษัทรู้ว่าเขามีความรู้น้อยมาก
บริษัทอาจจะคิดว่าให้ตำแหน่งผิดคนก็ได้
และจากการปฏิเสธที่จะเข้าร่วมโครงการนี้เองที่ทำให้การทำงานด้านบริหารมีความยากลำบาก
ส่วนใหญ่แล้วผู้บริหารที่สามารถสร้างเครือข่ายในงานบริหารจะรู้สึกว่าสามารถปรับตัวให้เข้ากับบทบาทหน้าที่ใหม่ได้เร็วขึ้น
การมีสัมพันธภาพกับเพื่อน
ทั้งที่ผ่านมาและเพื่อนปัจจุบันมักจะมีคุณค่ามากเนื่องจากมีการอภิปรายร่วมกันอย่างไม่เป็นทางการทำให้ไม่มีความกดดันใด
ๆ
ผู้บริหารมือใหม่จึงรู้สึกว่ามีอิสระในการพูดคุยถึงปัญญาและทำให้เกิดการมีส่วนร่วมในการหาวิธีการแก้ปัญหาขึ้น
การพัฒนายุทธศาสตร์การบริหาร
ขั้นแรกในการพัฒนาความเป็นอัจฉริยะของนักบริหารจะต้องทำความเข้าใจว่าบุคคล
ต้องเรียนรู้เรื่องอะไร
ต้องเรียนรู้งานที่เปลี่ยนแปลง
และเรียนรู้วิธีสร้าง
การปฏิสัมพันธ์กับผู้คน
และการเรียนรู้จากประสบการณ์
ในส่วนที่เป็นประสบการณ์ที่มีพลังอำนาจมากที่สุด
คือ
การเรียนรู้ที่จะต่อยอดขยายงานให้ก้าวหน้า
ด้วยการให้รู้ว่าเป้าหมายของงานมีความลึกซึ้งกว่าที่เป็นอยู่
ดังนั้นผู้บริหารที่มีประสบการณ์เท่านั้นจึงจะทำได้
แสดงว่าประสบการณ์มีความสำคัญ
ไม่ใช่แค่ความรู้ความสามารถ
การโยนบุคคลอัจฉริยะที่ว่ายน้ำไม่เป็นลงไปในสระน้ำแล้วปล่อยให้ว่ายน้ำตะเกียกตะกายโดยไม่สนว่าจะจมน้ำหรือจะว่ายน้ำได้
แม้แต่นักกีฬาที่มีความสามารถปีนป่ายถ้าถูกสั่งให้ปีนบันใดไม้ที่ชำรุดผุพัง
หรือหักก็อาจจะมีโอกาสตกลงมาได้
นั่นคือ
การจับคู่กันระหว่างความเป็นไปได้ในการพัฒนาบุคคล
และความสามารถที่บุคคลมีอยู่
ให้เป็นไปตามลำดับขั้นตอนเพื่อให้โอกาสปฏิบัติงานได้อย่างมีความหมาย
โอกาสเหล่านี้จะนำการปฏิบัติไปสู่ความชำนาญการ
ไปพร้อม
ๆ
กับการสร้างความสัมพันธ์กับคนอื่น
ๆ
ด้วย
การให้โอกาสแผู้บริหารให้มีประสบการณ์ที่เหมาะสม
จะทำให้สามารถสร้างผลงาน
รวบรวมรายงานสู่กระบวนการ
สร้างความเชื่อถือและพร้อมที่จะก้าวไปสู่การรับผิดชอบงานที่ยิ่งใหญ่ในขั้นต่อไป
ความจริงแล้วการกระตุ้นให้รับผิดชอบงานและต่อยอดขยายผลงานออกไป
ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือเรื่องที่ต้องมีการเสี่ยงมากเกินไป
ความเสี่ยงต้องวัดจากความสามารถของบุคคลที่จะจัดการกับปัญหาและความรับผิดชอบในการบริหารความเสี่ยงนั้น
ความเสี่ยงจึงเป็นเรื่องขององค์การที่จะบริหารความเสื่ยง
โดยทั่วไปความเสี่ยงมากเกินไปหรือไม่นั้นสามารถพิจารณาได้จากระยะเวลา
ถ้าผู้บริหารมือใหม่ต้องใช้เวลามากกว่าหกเดือนที่จะตระหนักรู้ว่างานของตนสามารถขยายผลออกไปได้อีกระดับหนึ่งอย่างมีความหมายก็แสดงว่ามีความเสี่ยง
การต่อยอดงานต้องอาศัยการพึ่งตนเอง
(Autonomy)
ซึ่งเป็นโอกาสที่จะพัฒนาและแสดงภาวะผู้นำชองผู้บริหารที่สามารถความเขื่อมโยงสิ่งที่เกิดขึ้นไนปัจจุบัน
(relevance)
กับงานซึ่งมีความสำคัญเชิงกลยุทธในองค์การได้
ความชัดเจน
(visibility)
และการมีวิธีการจัดการกับงานที่ทำให้ประจักษ์เห็นได้จะเป็นการสร้างความเชื่อถือ
สำหรับความพยายามของผู้บริหารคนนั้น
เดวิด
โทมัส
(David Thomas)
นักบริหารมือชีพท่านหนึ่งกล่าวว่า
บุคคลที่ไม่สามารถผ่านการประเมินให้เข้าสู่กระบวนการต่อยอดได้
หรือไม่สามารถสร้างความเชื่อมโยงสัมพันธ์กับงานขึ้นมาได้
ก็จะสูญเสียทักษะเมื่อเวลาผ่านไป
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ต้องนำมาคิดกันว่าการพัฒนาการบริหารจัดการนั้นจำเป็นต้องทำระยะยาว
หรือไม่
การพัฒนาความคิดเชิงกลยุทธ
คือ
การทำอย่างไรให้นักบริหารมือใหม่จัดการกับผลงาน
(Portfolio)
อันเนื่องมาจากประสบการณ์เพื่อเตรียมการในด้านบริหารได้
เช่น
มอบหมายให้ดูแลในเรื่องที่เกี่ยวกับกำลังคนและแรงงานที่มีความสำคัญในระดับสากล
หรือให้ลองเสนอแนะผลผลิตใหม่
หรือให้ช่วยงานผู้บริหารระดับสูงซึ่งกำลังเข้ามาเปลี่ยนตำแหน่งใหม่
ผู้บริหารระดับสูงจำเป็นจะต้องส่งสัญญาณในสิ่งที่คาดหวังเพื่อสร้างความสมดุลในการบริหารงานแบบอัจฉริยะ
การสร้างความสมดุลอาจจะเป็นเรื่องยากในสถานการณ์ที่มีความกดดันด้านการแข่งขันสูงบวกกับการที่ต้องเน้นความพึงพอใจของลูกค้าด้วย
อย่างไรก็ตามกลยุทธทางธุรกิจและทรัพยากรมนุษย์ก็มีความจำเป็นจะต้องมีการบูรณาการกันมากขึ้น
เมื่อองค์การมองเห็นโอกาสทางการธุรกิจ
ก็จะต้องหันมาคิดถึงความสามารถเชิงอัจฉริยะที่จำเป็นและประเภทของประสบการณ์ที่จะช่วยให้ผู้บริหารรุ่นใหม่ได้รับการพัฒนา
การพัฒนาการบริหารงานและ
การเลือกงานให้บริหาร
เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่ต้องตระหนักว่าเมื่อแต่งตั้งบุคคลให้รับงานด้านบริหารใหม่
การดำเนินงานขององค์การก็ไม่ได้หยุดนิ่งรอ
ยังคงต้องเดินต่อไป
ภายใต้การรับความรับผิดชอบอย่างใหญ่หลวงที่มอบให้กับผู้บริหารมือใหม่
ที่ยังต้องเรียนรู้สิ่งต่าง
ๆ
อีกมากมาย
นักบริหารมือใหม่ไม่ว่าจะมีพรสวรรค์มากเท่าไรก็จำเป็นต้องได้รับการดูแลให้คำแนะนำ
และผู้จัดการระดับกลางของนักบริหารมือใหม่
คือ
ผู้ที่จะต้องทำหน้าที่ในด้านนี้
มีบ่อยครั้งที่ผู้บริหารมือใหม่
มักรายงานว่า
ผู้บริหารระดับกลางสร้างความกลัวมากกว่าที่จะนำพาให้พวกเขาให้ได้รับการพัฒนา
เช่น
ผู้บริหารที่มุ่งผลของงานด้านการขาย
ก็จะได้แต่พูดสั่งการเพื่อจะให้รู้ว่าผู้บริหารมือใหม่จะต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้ได้ยอดขายตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
การทำงานผิดพลาดของผู้ร่วมงานมักจะเป็นปัญหาอีกประการหนึ่งสำหรับผู้บริหารมือใหม่
แม้ว่าจะเป็นที่ยอมรับกันว่ายังมือใหม่อยู่และยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา
และถ้าจะต้องแสวงหาความช่วยเหลือ
ผู้บริหารมือใหม่มักรู้สึกว่าตำแหน่งบริหารของตนมีความไม่ปลอดภัยจึงมักพยายามที่จะหลีกเลี่ยงงานบริหารด้วยการลงมือทำงานเอง
ผู้บริหารที่เคยเป็นนักปฏิบัติการชั้นยอดเยี่ยมก็มักจะลงทำงานด้วยตนเอง
ยิ่งมีแรงกดดันในองค์การมากเท่าไร
ก็ยิ่งทำให้รู้สึกลังเลที่จะพยายามแสวงหาความช่วยเหลือในเชิงรุก
ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้องค์การพลาดโอกาสสำคัญที่จะสร้างปรัชญาภาวะผู้นำ
และรูปแบบผู้นำของนักบริหารมือใหม่
จากการศึกษามีข้อชี้ชัดว่า
เจ้านายที่มีประสิทธิภาพมาก
จะให้การสนับสนุนแก่นักบริหารมือใหม่ประคับประคอง
ในหลักของการพึ่งพาตนเอง
แม้ว่าจะคาดหวังว่าผู้บริหารมือใหม่อยู่ในมาตรฐานที่สูง
แต่เมื่อมีการผิดพลาดในขั้นตอนของการทำงานเกิดขึ้น
เจ้านายจะรู้จุดของปัญหาสำหรับผู้บริหารมือใหม่
และช่วยสร้างความเชื่อมโยงในการแก้ปัญหา
เช่น
ความไม่สัมพันธ์กับเพื่อนที่เป็นหลักของงาน
การกระจายงาน
การนำทีม
ความจริงแล้วผู้ที่อยู่ภายใต้การบริหารของผู้บริหารคนใหม่
มักต้องการให้ผู้บริหารมือใหม่รับรู้และเข้าใจในความรู้สึกไม่ปลอดภัยของพวกปฏิบัติงาน
จึงพยายามหาวิธีการแสดงพฤติกรรมเพื่อยอกย้อนให้ผู้บริหารหันมาพิจารณาปัญหาเดิมเสียใหม่จากบทเรียนที่เป็นประสบการณ์ผิดพลาดร่วมกัน
นอกจากนี้ผู้ใต้บังคับบัญชายังพบว่า
ผู้บริหารมือใหม่มักจะหน่วงเหนี่ยวความรับผิดชอบไว้ใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาตนเองโดยมีพวกปฏิบัติงานเป็นกลุ่มตัวอย่างและเป็นเครื่องมือในการฝึกประสบการณ์ให้
ซึงเป็นผลประโยชน์โดยตรงแก่ผู้บริหารมือใหม่ที่ได้ฝึกงานบริหารกับพวกเขา
ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามกระตุ้นให้ผู้บริหารมือใหม่คิดยุทธศาสตร์
เกี่ยวกับงานใหม่
ๆ
ไปพร้อม
ๆ
กับการฝึกประสบการณ์ที่ค้นพบและสร้างความสัมพันธ์ที่จำเป็นที่ควรทำไปด้วย
สรุป
การเป็นผู้บริหารมือใหม่เป็นสิ่งที่สร้างความเครียดให้แก่ตัวบุคคลและองค์การในน้ำหนักที่เท่า
ๆ
กัน
เพราะถ้าผู้บริหารมือใหม่สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิผลและมีประสิทธิภาพ
ได้ผลลัพธ์ของเนื้องานที่ตรงเป้าหมายที่กำหนดก็จะเป็นผลดีแก่ตน
แต่ก็มักจะไม่เป็นไปตามคาดหวังเสมอไป
การที่ต้องปรับกระบวนทัศน์จากนักปฏิบัติมาสู่การเป็นผู้บริหารอาจจะทำยากในเบื้องต้น
ผู้บริหารมือใหม่ที่เป็นนักปฏิบัติที่ยอดเยี่ยมต้องการการพัฒนาระยะยาว
ยิ่งกว่านั้นองค์การยังคาดหวังให้ผู้บริหารมือใหม่สามารถขยายผลของการทำงานสู่เป้าหมายที่ลึกไปกว่าที่ต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในระยะเวลาอันสั้น
ก็ยิ่งทำให้ผู้บริหารมือใหม่มีความยากลำบากยิ่งขึ้น
การพัฒนาผู้บริหารมือใหม่ในระยะยาวและต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งที่สำคัญซึ่งไม่ควรมองข้าม
ถ้าผู้บริหารทั้งที่เป็นมือใหม่และมือเก่าได้พัฒนาความรู้
ความสามารถและทักษะอย่างต่อเนื่องก็จะสามารถเป็นผู้บริหารมืออาชีพได้ในที่สุด
|