บ่นแล้วได้อะไร
การบ่นเป็นอาการของการพูดชนิดหนึ่ง ซึ่งอาจมีลักษณะของการพูดในระดับเสียงตั้งแต่ค่อยที่สุดเหมือนกับพึมพำคนเดียวจนถึงระดับเสียงที่ดังฟังชัดเจนแล้วแต่อารมณ์และเจตนาของผู้บ่น
การบ่นนั้นเป็นการพูดที่ดูเหมือนจะไม่ต้องมีการฝึกหัด
หรือเรียนรู้อย่างเป็นทางการแต่อย่างใด เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ
เมื่อคนมีประสบการณ์มากขึ้น ได้รับรู้สิ่งต่าง ๆ มากขึ้น
และต้องรับผิดชอบเรื่อง ๆ มากขึ้น
คนก็จะทำพฤติกรรมการบ่นได้เก่งขึ้นเองเป็นเงาตามตัว
แต่เนื่องจากการพูดเฉย ๆ กับการบ่นนั้นมีพฤติกรรมเหมือนกัน
คนบางคนมักจะไม่รู้ว่าการพูดของตนเข้าข่ายประเภทการบ่นหรือไม่
ดังนั้นนักวิเคราะห์วิจารณ์การพูดจึงได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้เพื่อเป็นเกณฑ์ให้บุคคลนั้นได้ทำการประเมินการพูดของตนเอาเองว่าจะเป็นการพูดหรือการบ่นกันแน่
ข้อเสนอแนะมีดังนี้
1.
ให้พิจารณาว่าการพูดนั้นเป็นการสนทนาหรือเล่าเรื่องหรือเปล่า
ถ้าไม่ใช่ ก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นการบ่น
2.
ให้พิจารณาลักษณะของการพูดนั้นเป็นการเริ่มพูดในเชิงตำหนิเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างไม่มีการเตรียมการพูดมาก่อนหรือไม่
หรือ พอเห็นหน้าบุคคล สิ่งของ
หรือสถานการณ์ที่หงุดหงิดใจ ก็จะพูดออกมาเลย
โดยไม่สนใจว่ามีคนฟังหรือไม่
ส่วนใหญ่คนบ่นนั้นพอเห็นสิ่งที่ต้องบ่นก็เริ่มต้นบ่นได้ทันที
คนที่ชอบบ่นก็จะสามารถพูดได้เรื่อย ๆ โดยไม่สนใจคนฟังอยู่แล้ว
3.
ให้พิจารณาว่าเรื่องที่พูดนั้นยืดเยื้อใช้เวลานานเนื่องจากพูดกับไปกลับมา
ซ้ำไปซ้ำมา และมักจะนำเอาเรื่องอื่น ๆ ในอคีตเข้ามาโยง
ปะปนกันไปเพื่อให้พูดได้เรื่อย ๆ หรือไม่ การนำเอาเรื่องหลาย ๆ
เรื่องมาพูดต่อกันจนทำให้กลายเป็นคนละเรื่องเดียวเช่นนี้เรียกว่าเป็นการบ่น
4.
ให้พิจารณาว่าเรื่องที่พูดนั้น เราเคยพูดมาแล้วกื่ครั้ง กี่หน ในหนึ่งสัปดาห์
การบ่น คือ การพูดว่าอะไรซ้ำ ๆ ซาก ๆ จะสังเกตได้ว่า มักจะเริ่ม
ด้วยประโยคว่า "นี่ฉันบอกกี่ครั้งกื่หนแล้ว...."
5.
ให้พิจารณาว่าเป็นลักษณะของคำพูดที่พร่ำพรรณาถึงความน้อยอกน้อยใจ
ต่อว่าต่อขานโดยที่ไม่ต้องการคำตอบโต้หรือไม่ เพราะการบ่นนั้น
ในบางครั้งผู้บ่นเพียงการพูดเพื่อที่จะระบายความในใจเท่านั้น
6.
ให้พิจารณาว่าในขณะที่กำลังพูดอยู่นั้นเป็นการพูดแบบพาล ๆ หาเรื่องหรือไม่
ในบางครั้งคนบ่นมักจะไม่สนใจว่าคนที่ปรากฏตัวอยู่ในขณะนั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งที่บ่นอยู่หรือไม่
พอเหลือบเห็นคนฟังก็เกิดอารมณ์ขึ้นมาเลยพาลหาเรื่องบ่นเรื่องของคนนั้นต่อได้อีก
ทำเอาคนที่อยู่ฟังบ่นโดนหางเลขไปด้วย ซื่งพููดเป็นคำหยาบเล็ก ๆ ได้ว่า
"ซวยไป"
7.
ให้พิจารณาท่าทีหรืออากัปกิริยาของผู้ฟังว่ามีอาการกระสับกระส่าย
หน้านิ่วคิ้วขมวด หรือแสดงอาการเบื่อหน่ายหรือไม่
เพราะไม่มีใครชอบนั่งให้คนอื่นมาบ่นว่าอยู่ได้
และเมื่อทนไม่ไหวก็มักจะลุกหนีไปเสียดื้อ ๆ
อย่างไรก็ตาม
แม้ว่าการบ่นจะเป็นสิ่งที่คนที่อยู่รอบข้างหรือผู้ที่ถูกบ่นไม่ชอบ
แต่สำหรับคนที่ทำพฤติกรรมการบ่นแล้ว
จะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่สร้างความสุขให้เขาอย่างยิ่ง
ซ้ำยังมีประโยชน์ต่อชีวิตในเชิงจิตวิทยาอีกด้วย เช่น
1. การบ่นเป็นการแสดงถึงการมีวัยวุฒิของผู้บ่น
ว่าอยู่ในขั้นแก่พอสมควรแล้วหรือยัง เพราะมักจะมีคำกล่าวว่า
คนแก่ขี้บ่น
ซึ่งก็เป็นการดีที่จะทำให้ผู้บ่นได้หันกลับมาพิจารณาว่าขณะนี้เราเริ่มมีอายุแล้วเป็นการเตือนให้ยอมรับสภาพทางร่างกาย
2. การบ่นเป็นการป้องกันตนเองทางจิตได้
เพราะแสดงว่าเราไม่ได้บกพร่องต่อหน้าที่
เพราะเราสามารถรู้ความผิดพลาด ความไม่ดีของคนอื่น ๆ
แล้วนำมาบอกเล่าให้เขาฟัง ทั้งยังเป็นการออกตัวว่า "ฉันเตือนคุณแล้ว
เพราะฉะนั้นถ้ามีอะไรเกิดขึ้นอย่ามาโทษฉันนะ"
3. การบ่นเป็นการบริหารสมองให้ได้คิดตลอดเวลา
ทำให้สมองไม่ฝ่อป้องกันการเป็นอัลไซเมอร์
เพราะต้องพยายามเฟ้นเรื่องและหาทางให้เรื่องที่บ่นนั้นทำให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์รำคาญให้ได้ด้วยวิธีการที่สุดแท้แต่จะคิดสรรหามาในขณะที่บ่น
4.
การบ่นเป็นการบริหารกล้ามเนื้อของใบหน้า
เพราะจะมีการขยับเขยื้อนตลอดเวลาของการบ่น
น่าจะทำการวิจัยว่าคนที่บ่นเก่งนั้นจะมีใบหน้าที่เต่งตึงดูอ่อนกว่าวัยหรือไม่
เพราะจะเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการบำรุงผิวพรรณไปได้อีกทางหนึ่งด้วย
5. การบ่นเป็นการผ่อนคลายความเครียด
เพราะได้ระบายออกมาเสียบ้าง
ตามหลักจิตวิทยาแล้วการได้ระบายสิ่งที่อัดอั้นตันใจเสียบ้างก็จะทำให้จิตใจสบายขึ้น
6.
การบ่นเป็นการใช้เสียง ดังนั้นจึงอาจจะใช้แก้เหงาได้
เพราะมีเสียงรบกวน ตลอดเวลาที่อยู่คนเดียว
7.
การบ่นอาจนำมาใช้ไล่คนให้หนีหายไปได้
ดังนั้นเวลาที่ไม่ต้องการให้ใครมารุมล้อมหรืออยู่เกะกะขวางหูขวางตาก็ให้บ่นไปเรื่อย
ๆ
เดี๋ยวคนก็หายไปหมดเองและในที่สุดก็จะเหลือเรานั่งบ่นยู่คนเดียวสมใจนึกบางลำพูของเราไป
8. การบ่นเป็นการสร้างสรรค์จินตนาการ
เพราะมีการวาดภาพ คาดเดาเหตุการณ์ วิจารณ์ เรื่องราวต่าง
ๆ ให้คนฟังบ่นมองเห็นภาพ
ซึ่งในบางครั้งก็มีความเว่อจนเกินกว่าที่คนฟังบ่นจะรับได้
ซึ่งก็เป็นคุณสมบัติพิเศษของคนชอบบ่น
แม้ว่าการบ่นจะมีข้อดีดังที่กล่าวมาแล้วแต่ผู้บ่นก็มักจะไม่ยอมรับพฤติกรรมการพูดของตนว่า
เป็นคนขี้บ่นและก็มักจะเถียงคอเป็นเอ็นว่า"
ฉันไม่ได้บ่น"
สาเหตุที่ผู้พูดจะปฏิเสธว่าการพูดของเขาไม่ใช่การบ่น
และมักจะไม่พอใจที่จะได้รับคำชมว่า
"บ่นเก่ง"
ก็เพราะการบ่นเป็นคำที่มีความหมายในเชิงลบ
จึงไม่มีใครต้องการที่จะมีความเก่งกาจในด้านการบ่นหรือรู้สึกปลาบปลื้ม
ถ้าใครได้รับคำชมว่า "บ่นเก่ง"
ในทางตรงกันข้ามกลับจะรู้สึกโกรธและพร้อมที่จะโต้เถียงอย่างสุดฤทธิ์
รับรองได้ว่าจะไม่มีใครไม่ยอมรับคำชมนั้น ๆ เด็ดขาด
จึงเห็นได้ว่า
การบ่นนี้เป็นพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งในใจของคนชอบบ่นอย่างยิ่ง
เพราะว่า "อยากบ่น"
แต่ไม่อยากให้คนอื่นมาว่า "ขี้บ่น"
จึงน่าจะเปลี่ยนคำที่ใช้เรียกพฤติกรรมนี้เสียใหม่ให้มีความหมายในเชิงบวกสักนิดจะได้ยอมรับกันได้ ใครมีความคิดสร้างสรรค์ขอให้ช่วยคิดกันคำขึ้นมาแทนที่
คำว่า “บ่น” หน่อยเถอะ นึกว่าเอาบุญ ช่วยคนขี้บ่นให้มีความสุขในการบ่นอย่างแท้จริงในการบ่นเสียที
เพราะคนส่วนใหญ่ที่ขี้บ่นนั้น ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก
คนกันเองที่เราเคารพรักและมีพระคุณต่อเราทั้งนั้น
|