ภาวะผู้นำและการทำงานเป็นทีม
มนุษย์เป็นสัตว์โลกที่ถูกกำหนดโดยธรรมชาติให้อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม
จำนวนสมาชิกของกลุ่มจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงการยึดเหนี่ยวของกลุ่มว่ามีมากน้อยเพียงใด
และอยู่ในระดับใด
การที่บุคคลคงอยู่หรือยินยอมเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มย่อมจึงมีความหมายว่าบุคคลมีความพึงพอใจในสิ่งที่ได้รับจากกลุ่มในด้านต่าง
ๆ เช่น
ได้รับผลประโยชน์จากกลุ่ม
ได้รับความสุขจากการยอมรับของกลุ่ม
มีความสุขกับการทำงาน
พร้อมด้วยการแสดงตัวว่าไม่ต้องการที่จะแยกตัวออกจากกลุ่มที่ตนเป็นสมาชิกอยู่
แนวคิดของการทำงานเป็นทีม
เมื่อบุคคลมีการรวมตัวกันจึงเรียกการรวมตัวนั้นว่า
กลุ่ม โดยพื้นฐานแล้วบุคคลจะมองว่าตนเองเป็นสมาชิกที่ปรากฏตัวอยู่ในกลุ่มในสถานที่แห่งหนึ่งและมีความเชื่อมโยงรู้จักกัน
ความสัมพันธ์อาจทำให้เกิดการพึ่งพาระหว่างกันหรือไม่ก็ได้
การฝังตัวของบุคคลอยู่ในระบบสังคม
เช่น ในชุมชม
หรือในองค์การจึงเกิดการสร้างกลุ่มขึ้น
และเมื่อมีการพึ่งพากันจุดมุ่งหมายก็คือต้องการให้งานของตนประสบความสำเร็จตามความต้องการของตน
การปฏิบัติต่อกันมีผลกระทบซึ่งกันและกันโดยตรงในสถานภาพของแต่ละบุคคลในกลุ่ม
เช่น
เป็นลูกค้า
เป็นผู้ให้บริการ
หรือเป็นเพื่อนร่วมองค์การ
เป็นต้น ส่วนการรวมตัวกันที่เรียกว่า
ทีม มีความลึกซึ้งกว่าการรวมตัวกันเป็นกลุ่ม
ถ้าบุคคลในองค์การรวมตัวกันแต่ทำงานในบริบทของกลุ่มย่อมก่อให้เกิดผลกระทบที่ทำให้การนำนโยบายสู่การปฏิบัติและการยึดเกาะกันเพื่อให้งานสำเร็จเป็นไปในทิศทางเดียวกันมีความยากลำบาก
หัวใจของทีม
คือ การมีข้อผูกมัดร่วมกันทำให้กลายเป็นพลังในการทำงานแบบร่วมมือกัน
ไม่ใช่การทำงานแบบต่างคนต่างทำเพื่อประโยชน์ของตนเท่านั้น
แต่เป็นการร่วมแรงร่วมใจกันทำในงานที่คนเดียวทำไม่ได้หรือบรรลุความสำเร็จได้ยาก
ผลงานของทีมจึงให้คุณค่ามากกว่าผลรวมของงานที่ทุกคนแล้วนำมาบวกรวมกัน
(Worth more than sum of its parts)
เพราะความร่วมมือร่วมใจกันจึงทำงานด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
(A team is a group of people who function as a unit.) ในเรื่องของการทำงาน
ทีมงานในบางองค์การอาจใช้คำว่า “คณะทำงาน”
แทน ตัวอย่างของการทำงานเป็นทีมที่ชัดเจนได้แก่
การเล่นกีฬา
เช่น
ทีมฟุตบอล ทีมบาสเกตบอล
ทีมเชียร์รีดเดอร์
เป็นต้น (พรพิมล
เขาสมบูรณ์,
2543 หน้า 137)
ดังนั้นสิ่งที่ทำให้ทีมแตกต่างจากกลุ่ม
คือ
ความสามารถที่จะนำงานไปสู่ความสำเร็จได้มากกว่าโดยการนำความรู้และทักษะมาบูรณาการเข้าด้วยกัน
คำว่า”ทีม”
เป็นคำในภาษาอังกฤษที่นำมาใช้ทับศัพท์
โดยมีความหมายว่าเป็นการร่วมมือกันทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างมีความปรองดองและราบรื่นซึ่งนำมาสู่ความสำเร็จ
แม้ว่าการรวมตัวกันของบุคคลเป็นกลุ่มจะทำเพื่อจุดมุ่งหมายในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเหมือนกัน
แต่ผลลัพธ์ของงานและประโยชน์ที่ต้องการเป็นเรื่องของแต่ละคนที่คิดช่วงชิงให้ได้มา
จึงพบว่าในหลาย
ๆ
องค์การที่เรียกกลุ่มงานของตนว่า
ทีมงาน อาจไม่ใช่ทีมงานที่แท้จริงถ้าผลผลิตของงานเป็นการนำงานของแต่ละคนมารวมกัน
แคทเซนเซนแบช
และ สมิธ (Katzenbach &
Smith, 1986 cited in Clark, 2005) อธิบายว่า
ทีมเป็นการรวมตัวของบุคคลที่มีทักษะประกอบกันได้อย่างสมบูรณ์
(Complementary skills)
โดยมีการตกลงร่วมกันในจุดมุ่งหมาย
(Common purposes)
มีเป้าหมายปฏิบัติการ
(Performance goals) ตามแนวทางที่ก้าวร่วมกันไป
(Common approaches) ด้วยความเชื่อมั่นต่อกันและกัน
(Mutually accountable) จากนั้นได้อธิบายเพิ่มเติมว่า
จำนวนบุคคลที่พอเหมาะของทีมควรเป็นกลุ่มเล็ก
ๆ (Small number) ประมาณ
5-9 คน แต่อาจมีถึงจำนวนได้ถึง
25 คน ถ้าจำนวนนั้นพอเหมาะกับงานและสามารถนำทักษะของสมาชิกทีมที่หลากหลายมาประสานพลังรวมกัน
(Complementary skills) ในการปฏิบัติงานได้อย่างสร้างสรรค์
การวางจุดมุ่งหมายร่วมกันของทีมงาน
(Common purposes) จะเป็นทิศทางที่ทำให้ทีมสามารถกำหนดเป้าหมายปฏิบัติการ
(Performance goals) อย่างมีแนวทางร่วมกัน
(Common approaches) เช่น ตั้งกฎเกณฑ์ในการทำงาน
และวางแบบแผน
กำหนดพฤติกรรมที่คาดหวัง
และบทบาทของสมาชิก
เช่น ผู้กำกับเวลา
ผู้กระตุ้น ผู้รวบรวมข้อมูล
ผู้ประเมิน
เป็นต้นอันจะนำไปสู่ความเชื่อมั่นต่อกันและกันในผลลัพธ์หรือประโยชน์ที่พึงได้ร่วมกัน
(Mutually accountable)
ทั้งที่เป็นความสำเร็จและความล้มเหลว
การแสดงตนเป็นสมาชิกของทีม
คลาร์ค (Clark, 2005) ให้ข้อพิจารณาในด้านพฤติกรรมการแสดงออกของสมาชิกทีมไว้เช่น
1.
การแสดงตัว
(Identity)
ของสมาชิกในทีมที่แสดงตนอย่างชัดเจนว่าเป็นสมาชิกในทีม
มีวิสัยทัศน์
และพันธกิจร่วมกัน
ซึ่งสมาชิกใช้เป็นแนวทางและทิศทางในการทำงานของทีมงานเพือผลลัพธ์ที่ต้องการร่วมกัน
2.
การยึดเกาะระหว่างสมาชิก
(Cohesion)
เป็นการแสดงออกของทีมงานถึงความ
ผูกพันเชื่อมโยงกันในทีมด้วยจิตและวิญญาณที่บุคคลในทีมรู้สึกได้
3.
การกระตุ้นการทำงาน
(Facilitate) สมาชิกในทีมจะใช้การประชุมเป็นเครื่องมือที่มีค่า
เพื่อกำกับการดำเนินการไปในทิศทางที่ถูกต้อง
ใช้เป็นเวทีในการสื่อสารเพื่อความชัดเจนในการปฏิบัติงาน
4.
การสื่อสาร
(Communication)
เมื่อการทำงานขึ้นอยู่กับพลังอำนาจที่แต่ละคนได้รับ
การเปิดช่องทางการสื่อสารทำให้ทีมได้ขายความคิดให้กันและกัน
อย่างจริงใจ
มีการรับฟังในสิ่งที่สำคัญ
ความคิดที่แตกต่างมีคุณค่า
และวิธีการบริหารความขัดแย้งที่ดีก่อให้เกิดผลดีกับทีมงาน
5.
ความยืดหยุ่น
(Flexibility)
ทีมที่มีความยืดหยุ่นจะทำงานที่ได้รับมอบหมายและ
รักษาหน้าที่ไว้ได้ตามที่กำหนด
มีความรับผิดชอบและมีภาวะผู้นำร่วมกัน
ทำให้สมาชิกได้แสดงจุดแข็งของตน
6.
ความเป็นเพื่อน
(Friendship)
ทำให้ขวัญและกำลังใจ
(Morale) ของสมาชิกแต่ละคนอยู่ในระดับที่จะสร้างความกระตือรือร้นในการทำงาน
รู้สึกภาคภูมิใจในที่ได้เป็นสมาชิกของทีม
มีความมุ่งมั่นในงาน
เพื่อให้มีผลผลิตในระดับที่ทีมพึงพอใจร่วมกัน
ปัญหาและอุปสรรคในการทำงานเป็นทีม
เนื่องจากการทำงานเป็นทีมมีความเชื่อมโยงผูกพันของงานและความสัมพันธ์ต่อกันในทีมงาน
ดังนั้นพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ที่ทำให้เกิดปัญหาและอุปสรรคในการทำงานเป็นทีม
เช่น
1. การไม่ยอมรับกัน
มีการตั้งเงื่อนไขที่ทำให้โอกาสที่จะทำงานร่วมกันเป็นไปได้ยาก
การไม่ยอมรับเป็นสาเหตุของความขัดแย้งในการทำงานและการไม่ยอมรับอาจนำไปสู่การดูถูกดูแคลน
เหยียดหยาม ยิ่งเป็นการไม่ยอมรับในความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่มีมาแตกต่างกันด้วยแล้วจะทำให้มีปัญหาเกิดขึ้น
2. การนิ่งดูดายโดยปล่อยให้สมาชิกแต่ละคนทำงานโดยมีความคิดเพียงว่างานของตนที่รับผิดชอบเสร็จเรียบร้อยแล้วซึ่งการไม่ช่วยเหลือกันที่เห็นได้อย่างชัดเจนอาจทำให้รู้สึกที่ไม่ดีต่อกัน
จนกลายเป็นความไม่ชอบ
3. การไม่ชอบพอกัน
บุคคลอาจมีความรู้สึกไม่ชอบกันเป็นส่วนตัวเนื่องจากมีประสบการณ์ที่ไม่ดีต่อกันมาก่อน
สาเหตุของความไม่ชอบมีความหลากหลาย
เช่น
ไม่ชอบเพราะเป็นคนจน
ไม่ชอบเพราะอิจฉา
ไม่ว่าความไม่ชอบจะมาจากสาเหตุที่เป็นส่วนตนหรือการทำงาน
อาจทำให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
เช่น
การทะเลาะวิวาท
กลั่นแกล้ง
ไม่พูดจากัน
ทำให้ขาดการติดต่อสื่อสารที่ดีและการปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือกัน
พฤติกรรมเช่นนี้มีผลทำให้ความขัดแย้งขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น
4. การขัดผลประโยชน์
หรืออาจได้รับผลประโยชน์ไม่เท่าเทียมกัน
เช่น แย่งชิงกันในเรื่องของเงินรายได้
อำนาจ ตำแหน่ง
ปิดบังหรือบิดเบือนข้อเท็จจริงต่างๆ
เกิดความไม่ซื่อสัตย์สุจริต
ทำให้ไม่ไว้วางใจกัน
อาจเนื่องมาจากผลประโยชน์มีจำกัดไม่สามารถจัดให้ทั่วถึงได้
เกิดบรรยากาศในการทำงานที่ไม่ดี
สมาชิกทำงานอย่างไม่มีความสุข
5. การมีความคิดเห็นไม่ตรงกันหรือมีทัศนะที่แตกต่างกัน
วัยและอายุ
เพศ
อาจทำให้บุคคลมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้
ความเชื่อที่แตกต่างกันมากทำให้เกิดความขัดแย้งกัน
6. การแข่งขันกันในการทำงานมากเกินไป
ถ้ามีการแข่งขันกันเฉพาะบุคคลจะทำให้ไม่อยากทำงานร่วมกับคนอื่น
อยากทำงานให้ดีเฉพาะตน
มุ่งผลประโยชน์ตอบแทนมากกว่าเพื่อนร่วมทีม
เกิดการชิงดีชิงเด่นไม่ร่วมมือกันทำงาน
นับว่าผิดหลักการทำงานเป็นทีมที่มุ่งผลงานเป็นทีม
และในกรณีที่มีการแข่งขันกันเป็นทีมก็จะตกอยู่ในภาวะที่อยากจะเอาชนะ
หลักการแก้ไขปัญหาและอุปสรรค
ด้วยหลัการ 3 5 7
ดังนี้
3
ขั้นตอนของวิธีการ 1)
วิเคราะห์สาเหตุ 2) พิจารณากระบวนการ
3)
ผลลัพธ์ที่พึงประสงค์
คือ ชนะ ชนะ (win
win)
5 รูปแบบของพฤติกรรม
1) แข่งขัน 2)
ร่วมมือ 3)
หลีกเลี่ยง 4)
ยินยอม
5) ประนีประนอม
7 แนวทางป้องกัน
1.
สมาชิกแต่ละคนให้การยกย่องซึ่งกันและกันเท่าเทียมกัน
2.
เน้นการทำงานแบบ
ชนะ – ชนะ
ในลักษณะที่จะให้ประโยชน์ทั้งแก่บุคคลและทีม
3.
จัดทำกฎบัตรของทีมงานที่แถลงความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละคนในทีม
4.
ประนีประนอมความแตกต่างและใช้ประโยชน์จากความแตกต่างนั้น
5.
ให้แสวงหาพื้นที่หรือเวทีเพื่อการสื่อสารจัดการข้อตกลงที่ทำให้สมาชิกทีมได้มุ่งเน้นไปที่จุดมุ่งหมายของงานและทีมงาน
ให้แต่ละคนในทีมได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็น
6.
ช่วยให้สมาชิกทีมได้แสดงความเป็นตัวตนเพื่อจะได้กระตุ้นให้มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลง
7.
ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
บทบาทการเป็นผู้นำและผู้ตามในการทำงานเป็นทีม
การเป็นผู้นำและผู้ตามมีความหมายที่ชัดเจนตามคำที่นำมาใช้
ผู้นำ คือ ผู้ที่นำพาให้กิจกรรมต่าง
ๆ เกิดขึ้น โดยมีผู้ตามเป็นผู้ร่วมมือเพื่อให้กิจกรรมนั้นบรรลุเป้าหมาย
โดยปกติแล้ว
ภาวะของการเป็นผู้นำและผู้ตามจะเกิดขึ้นจากการรวมกลุ่มของบุคคลตั้งแต่
2 คนขึ้นไปที่แสดงตนซึ่งกันและกันว่าจะมีกิจกรรมทางสังคมร่วมกัน
เช่น
เดินเล่นและพูดคุยกันในสาระและเรื่องราวต่าง
ๆ พร้อมทั้งส่งสัญญาณต่อกันว่ามีความปรารถนาที่จะติดต่อสัมพันธ์กันต่อไป
การพบปะที่เพิ่มขึ้นในแต่ละครั้ง
และในแต่ละสถานการณ์จะสร้างความผูกพันกันเพิ่มมากขึ้นตามลำดับถ้าไม่มีสิ่งใดเข้ามาขัดขวาง
เช่น การไม่สามารถจัดการให้เกิดความคิดที่สอดคล้องกัน
หรือการเกิดความรู้สึกด้อยในสถานภาพของตน
ตลอดจนความรู้สึกว่าไม่ได้รับผลประโยชน์ที่พึงได้ตามความต้องการ
ความสัมพันธ์นี้ก็จะดำเนินไปเรื่อย
ๆ
การแสดงภาวะผู้นำและผู้ตามจะยังดูไม่ชัดเจนนัก
ถ้ากลุ่มมีสมาชิกน้อยเพียง
2 - 3 คน
เนื่องจากสถานภาพของกลุ่มจะมีลักษณะเป็นแบบง่าย
ๆ
อย่างไม่เป็นทางการ
แต่เมื่อใดก็ตามที่จำนวนสมาชิกของกลุ่มเพิ่มมากขึ้น
สมาชิกของกลุ่มก็จะเริ่มรู้สึกถึงความไม่เป็นระเบียบและความสับสนที่เกิดจากความไม่เข้าใจกันกับสมาชิกทุกคน
การที่ต้องแบ่งปันผลประโยชน์ให้แก่อย่างเป็นธรรมเริ่มมีความยาก
และซับซ้อนขึ้น
แม้ว่ากลุ่มจะไม่แสดงออกมาว่าต้องการการบริหารและการจัดการ
แต่สมาชิกทุกคนย่อมมีความรู้กอึดอัดและต้องให้มีผู้เข้ามาจัดการด้านบริหารให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวขึ้น
กลุ่มก็จะเริ่มมองหาบุคคลที่สามารถเป็นศูนย์กลางที่ประสานความเข้าใจและให้ความเสมอภาคแต่สมาชิกโดยรวมได้โดยให้มีบทบาทในการจัดการบริหารและนำความเข้าใจมาสู่สมาชิกให้ได้ปฏิบัติกันให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
บทบาทที่เกิดขึ้นจึงเป็นภาระงานที่เป็นบทบาทที่กลุ่มสร้างขึ้นเอง
เรียกว่า
ผู้นำและผู้ตาม
โดยกลุ่มอาจมีการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าอย่างเป็นทางการ
หรืออาจได้รับการยอมรับโดยนัยว่าเป็นผู้นำก็ได้
การใช้คำว่า
ผู้นำ ให้ความรู้สึกในความหมายที่แสดงถึงศักยภาพของบุคคลในการที่จะเป็นเป็นผู้ออกหน้าในการจัดการกลุ่มให้อยู่ในสภาพเรียบร้อย
ไม่มีความสับสนเกิดขึ้น
เป็นผู้ที่มีอำนาจในตนเองที่จะจัดการให้สมาชิกกลุ่มยอมรับและปฏิบัติตาม
ส่วนคำว่าหัวหน้าเป็นคำที่ยกย่องบุคคลให้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำ
ซึ่งเมื่อได้รับตำแหน่งแล้วก็จะมีบทบาทของการเป็นผู้นำตามมา
ดังนั้นผู้เป็นหัวหน้าอาจจะขาดคุณสมบัติของการเป็นผู้นำก็ได้
การขาดคุณสมบัติของการเป็นผู้นำก็จะทำให้เกิดความรู้สึกขัดแย้งและสับสนในองค์การขึ้น
การบริหารทีมงานและ
ภาวะผู้นำทีมงาน
การทำงานเป็นทีมจำเป็นต้องขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของการปฏิบัติงานของแต่ละคนในทีม
เปรียบเสมือนเหมือนกับเครื่องพิมพ์ดีดที่ทุกแป้นอักษรจะต้องใช้งานได้ดีจึงจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ถ้ามีแป้นใดแป้นหนึ่งเกิดชำรุดก็จะทำลายประสิทธิภาพของเครื่องพิมพ์เครื่องนั้น
การบริหารงานเป็นทีมจำเป็นต้องรูปแบบการบริหารในลักษณะแนวนอน
เพื่อเพิ่มช่องทางการสื่อสาร
การให้คุณค่าในภาวะผู้นำของทีมงานตามความสามารถของสมาชิกด้วยการมอบพลังอำนาจในงาน
สร้างแรงยึดเกาะในหมู่สมาชิกให้เกิดความรักใคร่ปองดองกันและการเอื้ออาทรช่วยเหลือกันเพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จของงาน
ดังนั้นจุดประสงค์ของการพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่อการการทำงานเป็นทีมจึงต้องพิจารณาภาวะผู้นำของสมาชิกในทีมนอกเหนือไปจากภาวะผู้นำทีมด้วยเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีประสิทธิภาพจากทีมงาน
จากบทความเรื่อง
ใครจะอยากมีเจ้านาย
“Who needs a boss?
ที่เขียนลงใน
ฟอร์จูน
แมคการ์ซีน (Fortune
Magazine) ให้ข้อคิดว่า
การถูกควบคุม
บงการ และการมีเจ้านายมาแทรกแซงในการทำงาน
ไม่ใช่แนวคิดของการทำงานเป็นทีม
เพราะการทำงานเป็นทีมนั้นทีมงานจะต้องสามารถบริหารทีมงานกันเองได้
และนั่นก็คือที่มาของการที่สมาชิกในทีมต้องมีคุณสมบัติของการเป็นผู้นำอยู่ในตนเอง
แต่อย่างไรก็ตามในการทำงานเป็นทีมจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการโดยเพื่อให้เกิดการประสานงานให้บรรลุเป้าหมาย
นอกจากนี้ยังพบว่าเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจากการทำงานต่างคนต่างทำมาเป็นการทำงานเป็นทีมมักจะมีปัญหาต่าง
ๆ
ซึ่งท้าทายความสามารถของผู้นำทีมในด้านการบริหารจัดการ
โดยเฉพาะปัญหาด้านการสื่อสารที่มักจะนำมาซึ่งข้อขัดแย้งระหว่างสมาชิกในทีมหรือระหว่างทีมและผู้ร่วมงานในองค์การ
ในบริบทของการทำงานเป็นทีม
ผู้นำทีมงาน
หรือผู้บริหารทีมงาน
คือ ผู้ที่มีความสามารถในการประสานงาน
สามารถแก้ปัญหาเกี่ยวกับงานและข้อขัดแย้งต่าง
ๆ
ทั้งในและนอกทีมงาน
กระตุ้นการทำงาน
ประชุม
จัดระบบการงานพร้อมรายละเอียด
การรายงาน
แก้ปัญหา
สร้างแนวทางให้สมาชิกทีมทำงานได้ดีเนื่องจากบทบาทหน้าที่ของผู้นำทีมงานคือ
การเป็นผู้ประสานในทุก
ๆ เรื่อง
ทั้งในเรื่องงาน
และผลประโยชน์ของทีมงาน
การเป็นผู้นำจึงมีสถานภาพเท่าเทียมกับสมาชิกของทีม
จึงพบว่าในระหว่างปฏิบัติงานของทีมงานจึงมีปรากฏการณ์ผู้นำร่วม
แบบทดสอบต่อไปนี้จะทำให้ผู้นำทีมทำความเข้าใจในบทบาทของตนได้
บทบาทผู้นำทีม
|
บวก
|
ลบ
|
1.
สมาชิกในทีมทำตัวเป็นผู้นำเช่นเดียวกับคุณ
|
รู้สึกดี
|
รู้สึกอึดอัด
|
2.
สมาชิกมักชอบเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจ
|
ชอบใจ
|
ไม่ชอบใจ
|
3.
มีบรรยากาศการทำงานที่มีผู้คนเข้ามาร่วมด้วย
|
รู้สึกดี
|
รู้สึกไม่พอใจ
|
4.
มีการประชุมเพื่อให้สมาชิกบอกปัญหา
|
ชอบ
|
ไม่ชอบ
|
5.
เมื่อเปลี่ยนแปลงกะทันหันจะมีสมาชิกเข้ามาจัดการกันเอง
|
ต้องการ
|
ไม่ต้องการ
|
6.
มีสมาชิกทำงานแข่งขันกันในทีม
|
ไม่ชอบ
|
ชอบ
|
7.
การแก้ปัญหาต้องอาศัยแนวทางของสมาชิกเป็นหลัก
|
ต้องการ
|
ไม่ต้องการ
|
8.
การสื่อสารแบบอย่างเป็นทางการต้องใช้ในเวลาที่ต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและการตัดสินใจ
|
ไม่เห็นด้วย
|
เห็นด้วย
|
9.
ลงมือทำงานเอง
|
ไม่ชอบ
|
ชอบ
|
10.
ผลงานและข้อมูลที่ได้เกิดจากความสามารถของสมาชิก
|
ต้องการ
|
ไม่ต้องการ
|
นอกจากนี้
การเป็นผู้นำทีมยังต้องการคุณลักษณะพิเศษเฉพาะตน
เช่น
-
อดทน อดกลั้น
Patience and Tolerance
-
ยืดหยุ่น
ใจกว้าง Flexibility and Open minded
-
กล้าตัดสินใจ
Decisiveness
-
ไหวพริบ
Tact
-
ทักษะการสื่อสาร
Communication skills
-
สร้างบรรยากาศ
อารมณ์ขัน Sense
of humor
-
รู้จักการใช้อำนาจ
/ จุดประกาย Authority
/ Inspiration
-
ความรู้
Knowledge
-
ทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์
Human relation skills
สำหรับแนวทางในการบริหารจัดการให้ทีมงานสามารถทำงานได้ดีนั้น
สุนันทา
เลาหนันทน์
ได้นำข้อคิดบางประการของ
ปาร์คเกอร์ (Parker
อ้างถึงใน
สุนันทา
เลาหนันทน์,
2540) มากล่าว พอสรุปได้
ดังนี้
1. ความชัดเจนในวัตถุประสงค์
(Clear sense of purpose) ในการทำงานนั้นจะต้องเริ่มต้นด้วยการกำหนดวิสัยทัศน์
โดยให้สมาชิกได้มีส่วนร่วมในการกำหนดวิสัยทัศน์นั้น
(Share vision) เพื่อจะได้เห็นภาพในอนาคตขององค์การไปพร้อม
ๆ
กับผู้บริหารโดยผู้บริหารองค์การเป็นผู้จุดประกาย
เพื่อให้สามารถกำหนดแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมและให้ประโยชน์สูงสุดให้องค์การ
2.
พฤติกรรมการมีส่วนร่วม
(Participation) ของสมาชิกในทีมงานเพื่อให้ได้รับรู้จุดมุ่งหมายของงานที่ได้รับมอบหมายจากองค์การ
การมีส่วนร่วมได้แก่
การได้เข้ารับฟัง
การแสดงความคิดเห็นหรืออภิปราย
3.
การสร้างบรรยากาศของการทำงานเป็นทีม
(Team climate) เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างเรียบง่าย
อบอุ่น
สบายใจในการทำงาน
โดยสมาชิกช่วยเสริมสร้างบรรยากาศที่ดี
เช่น
การแนะนำ
ให้คำปรึกษาและช่วยเหลือกัน
การสนับสนุนกันด้วยการช่วยจัดหาอุปกรณ์สิ่งของที่จำเป็นเพื่อสะดวกใช้ในการทำงาน
4. การรับฟังซึ่งกันและกัน
(Listening) สมาชิกตั้งใจฟังการแสดงความคิดเห็นของสมาชิกคนอื่นอย่างตั้งใจ
คิดพิจารณาไตร่ตรองสิ่งที่ได้รับฟัง
สนใจในเรื่องที่สมาชิกต้องการให้รับรู้
แสดงความเอาใจใส่ต่อคำขอร้อง.
5. แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างสุภาพ
(Civilized disagreement) การไม่เห็นด้วยเป็นปรากฏการณ์ปกติที่มักเกิดขึ้นในทีมงาน
เป็นภาพสะท้อนให้เห็นบรรยากาศการทำงานที่เป็นอิสระทางความคิด
ความคิดเห็นที่แตกต่างมักมีประโยชน์เสมอ
ถ้าการแสดงความคิดเห็นนั้นไม่ได้บั่นทอนความรู้สึกของสมาชิกผู้อื่นให้ดูเหมือนกับถูกตำหนิ
การแสดงความคิดเห็นที่ดีย่อมนำไปสู่ความเป็นปึกแผ่นของทีมงานได้ในที่สุด
6. การสื่อสารที่เปิดเผย
(Open communication) เป็นการติดต่อสื่อสารกันระหว่างสมาชิกในทีมงานด้วยการเปิดเผย
มีความจริงใจต่อกัน
มีความเชื่อมั่นและไว้วางใจซึ่งกันและกัน
ทั้งผู้นำทีมและสมาชิกในทีมงานควรมีการกระตุ้นให้เกิดการสื่อสารกัน
7. การรับรู้บทบาทและหน้าที่ในงานอย่างชัดเจน
(Clear roles and work assignments) มีการระบุภาระงาน
และข้อกำหนดในการทำงาน
พร้อมกับมีการกำหนดบทบาทและความคาดหวังต่องานที่มอบหมาย
8. ภาวะผู้นำร่วม
(Shared leadership) ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในการทำงานเป็นทีม
คือ
ภาวะผู้นำร่วมในทีมงาน
เนื่องจากการทำงานเป็นทีมนั้นได้เป็นการนำความสามารถที่หลากหลายของบุคคลที่เป็นสมาชิกในทีมเข้ามาทำงานร่วมกัน
ดังนั้นภาวะผู้นำจึงไม่จำกัดอยู่เฉพาะผู้นำทีมเท่านั้น
แต่สมาชิกทุกคนต้องมีความเป็นภาวะผู้นำร่วมด้วย
เพื่อช่วยส่งเสริมการทำงานและดำรงรักษาความเป็นทีมงานเอาไว้
เช่น
การริเริ่ม
ให้ข้อมูล
แสวงหาข้อมูล
ให้ความกระจ่าง
การสรุป
การทดสอบวิเคราะห์ความคิดความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
การผสมผสานความคิดเพื่อแสวงหาจุดร่วม
สอบถามตรวจสอบในการตัดสินใจ
การสนับสนุน
และการประนีประนอม
เป็นต้น
9. เครือข่ายความสัมพันธ์กับภายนอก
(External relations) สมาชิกทุกคนมีช่วยกันแสวงหาความร่วมมือจากภายนอก
เช่น ลูกค้า ผู้ใช้บริการ
และผู้อุปถัมภ์รายการ
กลุ่มบุคคลภายนอกจะเป็นผู้ให้ข้อมูลย้อนกลับในเชิงประเมินการปฏิบัติงานของทีมงาน
ความสัมพันธ์ภายนอกเป็นแหล่งทรัพยากรที่จำเป็นและมีคุณค่าต่อการปฏิบัติงานของทีม
ความสัมพันธ์ที่สร้างความเชื่อมโยงระหว่างกันของสมาชิกที่อยู่ในหน่วยงานต่างกันอาจทำให้ได้รับความช่วยเหลือด้านต่าง
ๆ
ที่เอื้ออำนวยการปฏิบัติงานของทีม
ในปัจจุบันการทำงานเป็นทีมมีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคที่มีการแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจสูง
และมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมและชีวิตความเป็นอยู่อย่างมากมายซึ่งทำให้การทำงานมีความยุ่งยากและซับซ้อน
องค์การจำเป็นต้องปรับปรุงและพัฒนา
หรืออาจต้องปรับเปลี่ยนเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพทางด้านสังคมปัจจุบัน
การทำงานเป็นทีมทำให้บุคคลเกิดความปลอดภัยทางจิตวิทยาด้วย
เนื่องจากทำให้รู้สึกว่ามีผู้คอยช่วยเหลือเกื้อกูลและให้คำปรึกษาหารือ
ข่วยกันคิด
ช่วยกันทำ
องค์การมีความคาดหมายที่ให้พนักงานร่วมมือกันทำงานเป็นทีม
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์การไปในทิศทางเดียวกัน
สำหรับบุคคลอาจมีจุดประสงค์ของการทำงานเพียงเพื่อต้องการการยอมรับในความสามารถและการมีศักดิ์ศรี
แต่แท้ที่จริงแล้วการทำงานเป็นทีมยังเป็นการพัฒนาการศักยภาพในการทำงานให้สูงขึ้น
การกระจายความรับผิดชอบและอำนาจสั่งการให้การทำงานเบ็ดเสร็จในทีมงานทั้งระดับการจัดการชั้นสูง
ผู้บริหาร ลงไปจนถึงการจัดการระดับล่าง
และผู้ปฏิบัติงานเป็นการสร้างความรู้สึกว่าได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์การ
ข้อสำคัญในการบริหารจัดการ
คือ
บทบาทและหน้าที่ของทีมงานในแต่ละทีมงานต้องประสานสอดคล้องกันเพื่อให้มีบรรยากาศที่ดีในการที่จะร่วมมือร่วมใจกันในการทำงานที่ดีในทีมงาน
การทำงานเป็นทีม
เป็นการทำงานที่ต้องการความร่วมมือกันของบุคคลหลายคน
หรือหลายกลุ่ม
โดยแต่ละคนหรือแต่ละกลุ่มจะมีความรู้ความสามารถหรือความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกันไปเพื่อตอบสนองงานที่ต้องทำร่วมกัน
ทุกคนมีคุณค่า
มีศักดิ์ศรีและมีความสำคัญสำหรับงานและทีมงาน ถึงแม้ว่าการร่วมกลุ่มกันของบุคคลนั้นมาจากเหตุผลที่แตกต่างกัน
การทำให้กลุ่มได้รับความพอใจทางด้านจิตวิทยาและสังคม
คือ
การยอมรับและให้การสนับสนุนในทางสังคม
ช่วยลดความหวาดกลัว
และลดความขัดแย้ง
เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ช่วยทำให้สมาชิกของกลุ่มหรือทีมช่วยกันทำให้ผลงานมีความหมายสำหรับองค์การ
บรรณานุกรม
Clark,
D. (2005). Matrix Teams. www.http//:leadership.boo/matrix
Teams.html (July 7, 2006)
ชาญชัย
อาจินสมาจาร.
(2536). เทคนิคการพัฒนาทีมงาน.
กรุงเทพมหานคร
:
ศูนย์สื่อเสริมกรุงเทพ.
พรพิมล
เขาสมบูรณ์.
(2543) การสร้างทีมงาน.
ใน กุญชรี
ค้าขาย
และคณะ
พฤติกรรมมนุษย์กับการพัฒนาตน
สถาบันราชภัฏสวนสุนันทา
วิชัย
โถสุวรรณจินดา.
(2535). ความลับขององค์กร;
พฤติกรรมองค์กรสมัยใหม่. กรุงเทพมหานคร:
ทีพี.พริ้น.
สมยศ
นาวีการ. (2536). กลยุทธ์การแข่งขัน
(Competitive Strategies). กรุงเทพมหานคร :
สำนักพิมพ์ดอกหญ้า .
สิทธิโชค
วรานุสันติกุล.
(2540). จิตวิทยาการจัดองค์กร. กรุงเทพมหานคร
: สำนักพิมพ์บุ๊คแ.
สุนันทา
เลาหนันทน์.
(2540). การสร้างทีมงาน. กรุงเทพมหานคร : ดี.ดี.บุ๊คสโตร์ .
สุพัตรา สุภาพ.
(2538). การบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ(ยุคโลกาภิวัตน์). กรุงเทพมหานคร
: สำนักพิมพ์ธรรมนิติ จำกัด
ธีรวุฒิ
บุณยโสภณ
และ สุภัททา
ปิณฑะแพทย์. (2550).
จิตวิทยาคุณภาพอุตสาหกรรม.
กรุงเทพมหานคร
: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ.
อำนวย
แสงสว่าง.
(2536). จิตวิทยาอุตสาหกรรม (Industrial Psychology). กรุงเทพมหานคร
: โรงพิมพ์ทิพยวิสุทธิ์.
Bartol, K.M. and Martine,
D.C. (1994). Management.
2nd ed. New York
: Mcgraw-Hill .
Covey, Gerald and others. (1982). Group Technigue.
California:
Brooks/Cole.
Margerison,
C. and McCann D. (1990). Team Management: Practical New Approach. London: Mercury Business Guide.
กรณีศึกษา
ปัญหาและอุปสรรคในการทำงานมักขยายผลออกไปเป็นความขัดแย้ง
ดังนั้นพฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยงและหันกลับมาใช้เพื่อให้ปัญหานั้นไม่กลายมาเป็นอุปสรรค
หรือทำให้หมดไปจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
กรณีศึกษาต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ท้าทายภาวะผู้นำทีม
ให้ช่วยกันวิเคราะห์สาเหตุที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้
และวิธีแก้ไขปัญหา
กรณีที่ 1 สมาชิกทีมงานเก็บกดปัญหาไว้
ไม่แสดงพฤติกรรมการโต้แย้งออกมา
พฤติกรรมเช่นนี้ทำให้รู้สึกหนักใจและอึดอัดไม่สบายใจ
เกิดความรู้สึกขัดแย้งในจิตใจ
อารมณ์หงุดหงิด
ซึ่งเป็นผลร้ายต่อสภาพจิตใจ
ทำให้ไม่มีความสุข
เครียด
กรณีที่
2
สมาชิกทีมงานทำงานผิดพลาดแต่ไม่ยอมเผชิญกับความจริง
แสดงอาการไม่ยอมรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นและไม่ยอมรับความช่วยเหลือ
แสดงพฤติกรรมกลบเกลื่อนและหลีกเลี่ยงการนำเสนองานต่อกลุ่ม
|