คุณนาย
ในชีวิตของฉันนั้นไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าจะได้มีโอกาสใช้คำนำหน้าว่า
“คุณนาย” เพื่อนฝูงสมาชิกชมรมกล้วยไม้
ซึ่งฉันเป็นสมาชิกอยู่พากันดีอกดีใจว่าจะได้มีเพื่อนเป็นคุณนายกับเขาสักคน
เพื่อน
ๆ
ต่างลงความเห็นว่าควรจะต้องทำให้ฉันมีความคุ้นเคยกับคำนี้เสียก่อนเพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดความไม่ราบรื่นในการวางตัว เพราะเพื่อนสังเกตเห็นว่าพอฉันถูกเรียกว่าคุณนาย
ก็จะทำท่าคอย่น
ยิ้มอย่างเอียงอาย
และถ้าฉันเกิดทำอะไรที่ไม่เหมาะสมกับการเป็น
คุณนาย
คำว่า
คุณนาย
ก็อาจจะถูกเติม
พรีฟิกซ์
(prefix)
เป็น
อี-คุณนาย
นัง-คุณนาย
ยาย-คุณนาย
แม่-คุณนาย
คงไม่สวยแน่
คำว่า
อี
และ
นัง
นั้น
เพื่อน
ๆ
บอกว่า
ยอมได้
แต่การที่
แม่
และ
ยาย
จะมาโดนร่วมสังฆกรรมด้วย
เพื่อนของฉันบอกว่ามันเป็นบาป
ดังนั้นเพื่อให้เกิดความคล่องตัวและเกิดความเคยชินกับตำแหน่ง
เพื่อนจึงรุมกันเรียกฉันว่า
คุณนาย
อย่างพร้อมเพรียงกัน
พร้อมกับบอกว่า
ฉันจะต้องหัดทำตัวให้สมกับเป็น
คุณนาย
เสียแต่บัดนี้ด้วย
ว่าแล้วเพื่อนของฉันก็แยกย้ายกันไปเข้าห้องสอนหนังสือคนละทิศละทาง
ทิ้งให้ฉันนั่งครุ่นคิดอยู่คนเดียวว่าจะต้องจัดการกันตนเองอย่างไรดีกับตำแหน่งที่เพิ่งได้รับมานี้
จากการที่ฉันไม่เคยชินกับตำแหน่งนี้มาก่อน ฉันจึงต้องการที่จะศึกษาหาความรู้เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง
เพราะการที่จะทำหน้าที่ให้ได้อย่างเหมาะสมนั้น
ผู้ปฎิบัติควรจะต้องเข้าใจและรู้จริงอย่างไม่เคลือบแคลงเสียก่อน และผู้ที่จะช่วยฉันได้เป็นอย่างดีก็น่าจะเป็นเพื่อน
ๆ
สมาชิก
“ชมรมกล้วยไม้”
นั่นเอง
ฉันจึงยื่นวาระขอเปิดการประชุมสมัยวิสามัญ
เพื่อขอให้ช่วยร่างระเบียบและวิธีการปฏิบัติตนเพื่อดำรงตำแหน่ง
คุณนาย
ตามมาตราต่าง
ๆ
ซึ่งก็ได้รับการตอบสนองว่าเป็นความคิดที่ดี
ในวันประชุม
เพื่อนสมาชิกต่างพากันมาประชุมกันเพียบจนน่าแปลกใจว่าวาระการประชุมมันน่าสนใจขนาดนี้เชียว
หรือเพราะมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ในการเป็นสมาชิกอันทรงเกียรติ
สมาชิกแต่ละท่านต่างแสดงความตั้งอกตั้งใจด้วยการหอบเอกสารตำราเข้ามากันอย่างกับนักการเมืองที่เตรียมพร้อมจะร่างกฎหมายบ้านเมืองยังไงยังงั้น
ทำให้ฉันรู้สึกซาบซึ้งในคามเอื้ออาทรของเพื่อนเป็นอย่างยิ่ง
ทุกคนเดินเข้ามาปลอบใจพร้อมแสดงตนว่าพร้อมจะช่วยเหลือ
ในตอนนั้นฉันยังอดหวั่นใจไม่ได้ด้วยกลัวว่าทุกคนจะเข้าทำหน้าที่คุณนายแทนฉันเข้าให้น่ะซี
เมื่อการการประชุมเริ่มขึ้น
ประธานสภาสมาชิกกล้วยไม้ก็เริ่มกล่าวอารัมภบทถึงความเป็นมาและเป็นไปและความจำเป็นที่จะต้องเปิดประชุมวิสามัญในวันนี้
ซึ่งหัวข้อในการประชุมก็อยู่ในมือของสมาชิกทุกท่านอยู่แล้ว
แต่ขอกำชับว่า หัวข้อที่จะนำมาอภิปรายในวันนี้ขอให้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความหมายของคำว่า
คุณนาย
เท่านั้น
ซึ่งต้องว่ากันให้ชัดเจนเพื่อที่จะได้ไม่ต้องกลับมาเสียเวลาแก้ไขกันอีก
ดังนั้นขอให้ทุกคนอภิปรายให้ตรงประเด็น
ทันที่ที่ประธานพูดจบ
ก่อนที่ฉันจะมีโอกาสขอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหัวข้อการประชุม
นงนาฎดาวพูดประจำชมรมก็ได้รับการอนุญาตให้อภิปรายเป็นคนแรกเสียแล้ว
ฉันก็เลยต้องก้มหน้าก้มตาฟังเธอพูด
พร้อมทั้งคิดประมาณการเอาเองว่า
ถ้าวันนี้ประชุมได้แค่นี้กว่าฉันจะรู้และเข้าใจหน้าที่และหลักในการวางตนให้เป็นคุณนายที่ดีได้ สามีฉันคงจะปลดเกษียณไปเสียก่อนเป็นแน่แท้ เพราะดูท่าแต่ละคนจะเอาจริงเอาจังกับหัวข้อนี้เสียเหลือเกิน
และแล้วความคิดของฉันพลันสะดุดลงด้วยน้ำเสียงที่แหลมคมที่เสียดแทงหัวใจของ
นงนาฎ
เธอกล่าวว่า
"ท่านประธานที่เคารพ
คำว่า
คุณนายน่าจะเป็นคำที่ใช้เรียกกันมาโดยยึดหลักว่าถ้าผู้นั้นได้บังเอิญเข้าไปเกี่ยวข้องหรือทำหน้าที่นั้นทั้งทางพฤตินัยและนิตินัยกับใครคนใดคนหนึ่งที่เป็นนาย”
ฉันขยับตัวตรงเตรียมพร้อมที่จะฟังคำอธิบายอย่างตั้งใจ
นงนาฏกล่าวต่ออย่างมีความความมั่นใจว่า
"มันก็เหมือนกับคำว่าอาจารย์
ที่มีคนนำเอามาใช้เรียกกันอย่างกว้างขวางกันในทุกวันนั่นแหละนี้ "
จากนั้นนงนาฎก็ร่ายยาวพร้อมยกตัวอย่างที่เป็นประสบการณ์ตรงของเธอให้ผู้ฟังว่าซึ่งพอจะจับใจความได้ว่า
เธอโชคดีได้สาวรับใช้มาเพิ่มอีกคนหนึ่งเพื่อช่วยดูแลคุณแม่ซึ่งแก่มากแล้ว
ครั้งแรกเธอก็รู้สึกหนักใจเกรงว่า
สาวรับใช้สองคนจะอยู่ร่วมกันไม่ได้
เหมือนคำพังเพยที่ว่า
เสือสองตัวอยู่ในถ้ำเดียวกันก็จะแย่งกันเป็นใหญ่
แต่มาในระยะหลัง
ๆ
นี้มีเสียงพูดคุยกันดังเล็ดลอดออกมาจากด้านหลังบ้านอยู่เสมอ
แสดงว่าเหตุการณ์ราบรื่น แต่ในบางครั้งเสียงที่แว่วมานั้นมักมี
คำว่า “อาจารย์
ๆ”
อยู่ด้วยน่ะซึ
ทำให้เธอเกิดความรู้สึกว่า
คงถูกสองคนใช้นี้เม๊าแตกเกี่ยวกับตัวเธอเป็นแน่
เธอจึงต้องสอดแนมให้รู้จริงให้ได้
อยู่มาวันหนึ่งเธอขณะที่เธอเดินและเล็มสอดแนม
ก็ได้ยินเสียงเด็กต๋องสาวรับใช้คนใหม่เรียก
อาจารย์ขา
ๆ
เธอก็ขานตอบ
เพราะเธอเองก็เป็นอาจารย์สอนหนังสือ
และเป็นคนเดียวในบ้านที่ทำอาชีพนี้
เธอยังคิดไกลออกไปอีกว่า
เด็กคนนี้คงเคยอยู่บ้านอาจารย์มาก่อนกระมัง
จึงเรียกเธอว่าอาจารย์ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
แต่ในทันใดนั้นเธอก็ต้องตกใจเมื่อเด็กตํองกลับหันขวับมามาตอบอย่างไม่พอใจว่า
"หนูไม่ได้เรียกคุณ
คุณไม่ได้เป็นอาจารย์หนู
หนูเรียก
อาจารย์พี่น้อยต่างหาก”
เมื่อเรียกสติกลับคืนมาได้
เธอจึงถามต่อเพื่อให้หายสงสัยว่าทำไม
พี่น้อยถึงได้รับการเลื่อนยศให้เป็นอาจารย์
คำตอบของเด็กต๋องก็คือ
ใครที่สอนเราก็ให้เรียกว่า
อาจารย์
ให้หมด
แม้จะสอนแค่เพียงครั้งเดียวก็ตาม
"แล้วพี่น้อยเขาก็สอนหนูให้ทำงานบ้านต่าง
ๆ
ตั้งมากมาย
หนูจึงต้องยกย่องเขาให้เป็นอาจารย์"
จากคำตอบอันน่ารัก
รู้จักยกย่องคน
ทำให้นึกถึงนักพูดท่านหนึ่งเล่าว่า
ท่านความต้องการที่จะให้มีคนเรียกท่านว่า
อาจารย์
แทนการเรียกชื่อเฉย
ๆ
ท่านก็เลยไปขอสอนที่โรงเรียนเทคนิคเอกชนแห่งหนึ่งโดยไม่คิดค่าสอน
เพื่อว่าจะได้มีโอกาสเรียกตนเองว่า
อาจารย์
ได้โดยสมบูรณ์
ก็เพราะความคิดที่ดีนี้เองจึงทำให้มีอาจารย์เกิดขึ้นทุกวัน
วันละมาก
ๆ
คน
เสียด้วย
นี่ถ้าท่านรู้มาก่อนว่า
รออีกหน่อยใครอยากเป็นอาจารย์
ง่ายนิดเดียว
แบบนี้ละก็
คงไม่ต้องลงทุนให้เหน็ดเหนื่อยขนาดนั้น
นงนาฎจีบปากจีบคอเล่าต่อไปอีกอย่างเมามันว่า
สาวรับใช้ของเธอยังขู่เธอต่อไปอีกว่า
"คุณก็เหมือนกัน ต้องให้เกียรติกันบ้าง
หนูได้สอนคุณแล้ว
คุณก็ต้องเรียกหนูว่าอาจารย์เหมือนกัน”
และเพื่อจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
นงนาฎบอกว่าเธอจำเป็นต้องเรียกสาวใช้ทั้งสองคนว่าอาจารย์
ด้วยประการฉะนี้
พร้อมทั้งรีบบอกสามีให้ระมัดระวังตัวให้ดี
ไม่เช่นนั้นอาจจะต้องเรียกเด็กทำงานบ้านว่าอาจารย์โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์แต่สามีของเธอกลับบอกอย่างไม่แคร์ว่า
สมัยนี้อะไรยอมกันได้ก็ต้องยอมกันไป
นอกจากนั้นสามีของเธอยังเริ่มสอนเธอให้เห็นใจพวกเขา
เรายกย่องให้เป็นอาจารย์เสีย
พอเขากลับไปบ้านจะได้อวดคนได้ว่า
เขาได้ทำงานทำเป็นอาจารย์
ทุกคนในที่ประชุมดูเหมือนจะเห็นด้วยกับนงนาฎ
สมถวิลได้ทีจึงขอแซมอภิปรายแสดงความคิดว่า
ทุกคนควรจะนำความคิดนี้ไปใช้ที่บ้านของตนเพื่อเด็กทำงานบ้านจะได้อยู่ทน
เพราะ
มาสโลว์
กล่าวไว้เลยว่าคนทุกคนย่อมต้องมีความต้องการมีเกียรติยศกันทั้งนั้น
ในที่สุดประธานก็ให้นงนาฎสรุปความหมายของคำว่า
คุณนาย
เนื่องจากหมดเวลาอภิปราย
แต่นงนาฎก็ยังขอเพิ่มเติมเพื่อเป็นประโยชน์แก่เหล่าสมาชิกว่า เด็กตํองยังรับอาสาที่จะพาคนมาทำงานบ้านเพิ่มให้อีกคนหนึ่ง แต่มีข้อแม้ว่าต้องให้เธอเป็นคนสอน
เพราะคราวนี้เธอจะได้เป็นอาจารย์เองบ้าง
ในที่สุดนงนาฎก็สรุปได้อย่างแหลมคมสมเสียงว่า
"จะเห็นได้ว่า
คำว่า
คุณนาย
มีความสัมพันธ์กับคำว่า
อาจารย์
ผู้ที่ได้รับตำแหน่งนี้จะต้องคอยระแวดระวังไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการแทนที่
ไม่ว่าจะจงใจหรือไม่ก็ตาม
เพราะถ้าพวกเรามัวแต่สอน
ๆ
ๆ
เลี้ยงลูก
ๆ
ๆ
ละก็
ตำแหน่งนี้อาจจะถูกแทนที่ได้
เหมือนกับคำว่าอาจารย์"
จากตัวอย่างที่นงนาฎอภิปรายและสรุปมานี้เอง
แม้ว่าฉันเกิดอาการงงว่ามันเป็นเรื่องเดียวกันหรือเปล่า
แต่มันทำให้ฉันเกิดความคิดวิตกจริต
กับตำแหน่งนี้ขึ้นมาอีกประเด็นหนึ่งด้วย
และคิดว่าเมื่อกลับไปถึงบ้านก็จะต้องกำชับกำชาคุณสามีอย่างเป็นการเป็นงานว่า
กรุณาอย่าไปเกี่ยวข้องหรือมอบหมายให้ใครมาทำหน้าที่นี้อย่างเด็ดขาด
เพราะไม่เช่นนั้นก็จะมีคุณนายขึ้นมาแทนฉันซึ่งยอมไม่ได้
เพราะมันจะแทนที่กันเหมือนกับการเป็นอาจารย์ไม่ได้
เสียงอือๆ
ออๆ
ของเพื่อน
ๆ
ทำให้ฉันเริ่มแน่ใจว่าเพื่อน
ๆ
น่าเห็นด้วย
ต่อจากนั้นก็เป็นคิวของสมสมัย ดาวสภาอีกคนหนึีงที่ได้รับอนุญาตให้อภิปรายเป็นคนต่อมา
เธอกล่าวว่า
ที่นงนาฏพูดมาทั้งหมดนั้น
ชัดเจนแต่เพื่อให้ชัดเจนยิ่งขึ้นเธอจึงขออภิปรายให้ลึกลงไปอีกดังนี้
“ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจกันให้ถึงรากศัพท์
ของคำว่า
คุณนายเสียก่อน คำว่า
คุณนายน่าจะเพี้ยนมาจากคำว่า
“คุณของนาย”
เธออธิบายอย่างมั่นใจว่า
ในสมัยนี้หรือสมัยไหน
ๆ
คนก็มักจะนิยมใช้คำว่า
นาย
เพื่อยกย่องคนที่มีเป็นหัวหน้า ผู้นำ
ผู้สั่งการ
ผู้มีอำนาจเหนือกว่า
เหมือนคนอเมริกันเรียกนายว่า
Boss
ครั้นเมื่อนายเรียกภรรยาว่า
“คุณ”
แสดงว่าท่านยกย่องให้อยู่ในสถานภาพที่เหนือว่า
ซึ่งความจริงแล้วถ้าสังเกตให้ดีก็จะเข้าใจ
แต่การจะเรียกเมียนายว่า
นายของนาย
ก็จะสับสนและดูว่าจงใจให้ร้ายนายไปหน่อย
ด้วยสมองอันล้ำเลศ
บวกด้วยความคิดอันเปรื่องปราชญ์และความชาญฉลาดของไหวพริบของนายเวรที่
คอยสังเกตสังกา
สอดแนมเล็ก
ๆ
ว่า
จึงบังเอิญได้ยินนายเรียกเมียด้วยความยกย่องและเกรงใจทั้งน้ำเสียงและท่าทางว่า
“คุณ”
จึงเอามาใช้เรียกว่า
“คุณของนาย”
และเธอยังวิเคราะห์ลึกลงไปอีกว่า
คำเพี้ยนนี้น่าจะมีถิ่นกำเนิดที่ภาคใต้
ด้วยคนภาคนี้มักพูดสั้น
ๆ
ย่อ
ๆ
เช่น
จะถามว่าไปไหน
ก็จะพูดคำเดียวว่า
“ไน๊”
จะไปสะพานควาย
ก็ตอบว่า “ควาย”
เป็นอันรู้กัน
คำนี้ก็เช่นกันเมื่อใช้เรียกไปนานวันเข้า
ก็เลยเหลือแค่คำว่า “คุณนาย”
อนงค์เป็นอีกคนหนึ่งที่เก่งกาจทางด้านภาษา
จึงแสดงภูมิรู้ว่า
คำว่า
คุณนาย
ก็เหมือนกับคำว่า
ผ้าขาวม้า นั่นแหละ
สมาชิกหลายคนเริ่มสงสัยว่ามันเกี่ยวกับผ้าขาวม้าด้วยหรือ
แต่ยังฟังอนงค์อธิบายต่อว่า
“การที่เราเรียกผ้าที่มีความกว้างประมาณเมตรครื่ง
คูณ
ครื่งเมตรว่า
ผ้าขาวม้า
ทั้ง
ๆ
ที่สีสรรของผ้าก็ไม่เคยมีการทำออกมาเป็นสีขาวเลยและผ้าก็ไม่มีเห็นจะเกี่ยวกับม้าด้วย หรือถ้าจะบอกว่าเกี่ยวเพราะเป็นผ้าใช้สำหรับนุ่งเพิ่อขี่ม้า
ก็ต้องมาพิจารณาว่า
คนไทยสมัยโบราณที่มีม้าขี่เป็นพาหนะเดินทางก็มีแต่พวกขุนน้ำขุนนางเท่านั้นชาวบ้านทั่วไป
มักจะใช้วัว
ใช้ควายกันเสียละมากกว่า
แล้วการที่จะเอาผ้าผืนเล็กขนาดนั้นมานุ่งขี่ม้าเพื่อเดินทางไกล
มันน่าหวาดเสียวหยอกเสียเมื่อไหร่”
เสียงสมาขิกดังฮือฮาแสดงเห็นด้วยว่าไม่น่าจะมาจากคำว่า
“ผ้าขี่ม้า”
นิ่มนวลกล่าวเสริมว่า
“อย่างไรก็ตามผ้าขาวม้าก็ยังเป็นผ้าที่อนุญาตให้ผู้ชายใช้ได้แต่เพียงเพศเดียว
ตามหลักของวัฒนธรรมสังคม
ไม่เชื่อลองผู้หญิงเอามาใช้ซิ
จะได้ลือกันแซดทั้งหัวซอยท้ายซอยว่าเป็นผู้ชายประเภทสองเข้าให้ปะไร
ชายแท้ก็เลยครอบครองการใช้ผ้าขาวม้ากันอย่างสนุกสนานตลอดระยะเวลา 200 กว่าปีเลยทีเดียว
โดยใช้เอนกประสงค์ประจำตัวอย่างไม่คำนึงถึงสุขอนามัยใด
ๆ
ทั้งสิ้น
ตั้งแต่เช็ดหน้า
เช็ดตัว
โพกหัว
ปูนอน
เป็นหมอน
เคี่ยนพุง
ปัดยุง
พาดไหล่
ใส่นอน
และเช็ดปาก
ฯลฯ
เสียงสมาชิกเริ่มแสดงความไม่พอใจในเรื่องสิทธิสตรีทันที
นวลน้อย
สบโอกาสในการอภิปรายจึงเสริมว่า
“ยังให้ข้อสันนิษฐานที่เธออ่านมาจากหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งพอจะเชื่อถือว่าน่าจะมาจากคำว่า
“ผ้าขอขมา”
ก็แต่ก่อนนี้เมื่อหนุ่มสาวพอใจรักใคร่กัน
พอถูกกีดกัน
หรือมีปัญหามากนักก็มักจะเลือกใช้วิธีวิวาห์เหาะเพราะสะดวกดีด้วยประการทั้งปวงสำหรับฝ่ายชาย ส่วนพ่อแม่
ญาติพี่น้องฝ่ายหญิงนั้นแม้จะโกรธแค้นแต่เมื่อเรื่องล่วงเลยมาแล้ว
จะแก้ผ้าล้างน้ำก็ไม่ได้
ก็ต้องจำยอมและเพื่อไม่ให้เสียหน้าก็ต้องเรียกกันมาขอขมาสักหน่อย
เรียกค่าเลี้ยงดูกันพอสมควรเพราะดีกว่าไม่ได้เลย
และอย่างน้อยก็ให้ลูกเขยมันยอมก้มหัวกราบสักหน่อย
การกราบขอขมาของลูกเขยก็มักจะต้องใช้ผ้าที่พาดไหล่ปูวางไว้ก่อนที่จะกราบ
ผ้าพาดไหล่จึงถูกเรียกว่า
“ผ้าขอขมา”
ครั้นเรียกกันนานๆไปก็มีอาการเพี้ยนอีกตามเคย
คราวนี้เพี้ยนทั้งคำและเสียงจนกลายมาเป็นผ้าขาวม้าไปในที่สุด
หลายคนเริ่มหันมาถามว่าถิ่นกำเนิดของคำน่าจะเกิดที่ภาคใดของประเทศ
หลังจากฟังการอภิปรายมาเกือบครึ่งวัน
ประธานสังเกตว่าสมาชิกเริ่มเหนื่อยอ่อนแล้วจึงส่งเสียงขอให้ลงมติว่าเห็นด้วยกับความหมายของ
คำว่า
ผ้าขาวม้า
หรือไม่
หรือจะมีใครคัดค้านในประเด็นที่ว่านี้บ้าง"
ด้วยมาดเข้ม
เสียงเข้มแบบขนานแท้ดั้งเดิมของท่านประธาน สมาชิกหลายคนเริ่มส่งซิกยอมจำนน
ถ้าขืนคัดค้าน คงมีเรื่องที่เป็นเรื่องเพราะสมาชิกเริ่มขอให้รณรงค์เรื่องความสะอาดของผ้าขาวม้า
ภัยมหันต์จากการหยิบหรือจับผ้าขาวม้าเอามาเช็ดหน้าเช็ดตา
ซึ่งจะยืดเยื้อ
ท่านประธานใจดีบอกว่าของยกไปอภิปรายต่อในการประชุมใหญ่คราวหน้า
และแล้วในที่สุดสมาชิกทุกคนก็ยกมือ
ลงมติยอมรับความหมายของ
คำว่า
ผ้าขาวม้า
กันอย่างเป็นเอกฉันท์
ฉันคนเดียวที่ยกมือสนับสนุนแบบเก้
ๆ
กัง
ๆ
เพราะยังไม่สามารถรวบรวบความคิดรวบยอดในประเด็นที่ลงมติได้
ก็เพราะมัวแต่เออออห่อหมกกับประเด็นการประชุมใหญ่คราวหน้าไปกับเหล่าสมาชิกกะเขาด้วยเหมือนกัน
แต่ครั้นได้สติว่า
ประเด็นการโหวตเสียงในวันนี้น่าเป็นเรื่อง
คำว่า
คุณนาย
ไม่ใช่
คำว่า
ผ้าขาวม้า
อรุณีเพื่อนสาว
โสดสุดสวย
คงพอจะรู้แกว
ว่าฉันทำท่าจะคัดค้าน
เธอจึงยึดมือฉันไว้แน่น
พร้อมทั้งกระซิบอย่างหนักแน่นและเอาจริงเอาจังว่า “ถ้าการอภิปรายที่ตรงประเด็นและชัดเจนที่สุดในวันนี้ยังทำให้เธอไม่สามารถเป็นคุณนายได้ละก็ฉันจะช่วยเป็นให้เอง”
ด้วยน้ำเสียงและแววตาที่มุ่งมั่นของเธอเหมือนกับจะบอกฉันว่าเธอเอาจริงนะทำให้ฉันต้องลดความเป็นคนประเภทคิดมากลงอย่างราบคาบ
พร้อมทั้งควรต้องแสดงความพอใจกับผลของการอภิปราย
ถ้าไม่เช่นนั้นอาจจะมีสมาชิกผู้ประสงค์ดีขอเปิดการอภิปรายไม่ไว้วางใจคุณนายขึ้นมาอีกแล้วละก็ฉันจะแย่
สิ่งที่ตรงจุดประสงค์ของการประชุมที่สุดก็
คือ
เมื่อการลงมติโหวดเสียงเรียบร้อยแล้ว
พวกสมาชิกก็จะถือโอกาสปิดประชุม
คราวนี้ก็เช่นกัน
ไม่มีข้อยกเว้น
ไม่ว่าผลการประชุมจะได้ตามประเด็นหรือไม่
สมาชิกทุกคนเริ่มขยับตัว
เป็นสัญญาณว่าการประชุมกำลังจะสิ้นสุดลง ในฐานะที่เป็นโฆษกของชมรม
ฉันจึงตัองรีบเดินไปคว้าไมโครโฟน
และกรอกเสียงลงไปว่า
รายการต่อไป
ขอเชิญสมาชิก
กิน
เล่น
เต้น
คุย
กระชากวัยได้เลย
แต่ในใจก็ไม่วายคิดลึก
ๆ
ว่า
การประชุมครั้งนี้ได้ข้อสรุปเราได้มติตามประเด็นตามสุภาษิตที่ว่า
“ขึ้นต้นเป็นมะลิซ้อนพอแตกใบอ่อนเป็นมะลิลา”
ซึ่งเราก็ทำได้ดีไม่แพ้การประชุมที่ถ่ายทอดทางทีวีเลยนะ
|