การสร้างตัวตนให้แก่นักเรียน
บุคคลที่มีอิทธิพลต่อการสร้างตนให้แก่เยาวชนคือ
ครู
ในวันหนึ่ง
ๆ
นั้นนักเรียนจะอยู่กับครูเป็นส่วนใหญ่
มีการโต้ตอบด้วยคำพูด
ด้วยน้ำเสียงกิริยา
อาการแม้แต่การหัวเราะ
พฤติกรรมเหล่านี้ย่อมบ่งบอกความคิดของครู
ที่แสดงออกมาเป็นการรับรู้ในตัวนักเรียนทั้งสิ้น
ครูจึงเป็นกระจกเงาแสดงภาพตัวตนของนักเรียนไม่ว่าจะด้วยทางตรงและทางอ้อมเสมอ
การรู้ว่าตนคือใคร
คือ
การรู้จักตนเองซึ่งหมายถึงการที่บุคคลรับรู้สิ่งต่าง
ๆ
ที่เกี่ยวกับตนเองไว้เป็นความคิดรวบยอดเกี่ยวกับตน
การรู้จักตนเองจำเป็นต้องเป็นการรู้จักตนเองทั้งในด้านดี
หรือไม่ดี
แต่บุคคลอาจจะมีการรู้จักตนเองที่ไม่ตรงตามความเป็นจริงก็ได้
ความคิดของตัวตน
ตัวตน
หรือ
ตน
(self)
หมายถึงตัวของบุคคลหนึ่งที่ประกอบด้วยกายและจิต
ซึ่งเป็นอินทรีย์รวมของบุคคลนั้น
โรเจอร์ส์
(Rogers)
ได้แบ่งตัวตนของบุคคลออกเป็น 3
ประเภท
คือ
ตนตามอุดมคติ
(ideal self)
คือตนที่วาดหวังไว้เป็นภาพของตนซึ่งมักจะสวยงาม
ดีเลิศ
ไม่มีใครที่จะวาดภาพตนเองในอุดมคติว่า
เลว
สกปรก
ไร้ค่า
อย่างแน่นอน
ครูจะมีส่วนช่วยให้นักเรียนคงความหวังในตนเองตามอุดมคติได้ด้วยการเพิ่มคุณค่าให้แก่ตัวนักเรียน
เสริมสร้างหรือตกแต่งให้ฝันของนักเรียนเป็นไปอย่างเหมาะสมและมีทิศทางที่มุ่งไปสู่ควาใมสำเร็จ
พฤติกรรมที่การลบล้างความคิดที่ดีเกี่ยวกับตนเองของนักเรียน
เช่นการประมาส
หรือตราหน้า
ทำให้เกิดความอับอาย
จะทำให้นักเรียนเกิดความรู้สึกท้อใจและหมดหวังที่จะนำตนเองไปสู่จุดหมายที่ประสงค์
พฤติกรรมของครูจึงอาจลบล้างความฝันนั้นไปจากภาพที่ได้วาดหวังไว้อย่างสวยงามโดยไม่ตั้งใจก็เป็นได้
ตนตามการรับรู้
(perceived self)
คือตนที่ถูกรับรู้ว่าคือตัวเรา
การรับรู้ตนในระดับนี้จะก่อให้เกิดความขัดแย้งภายในจิตใจทันทีถ้าการรับรู้นั้นยังไม่ได้ลงสู่ขั้นการยอมรับตนเอง
นักเรียนบางคนอาจจะแสดงอาการขัดแย้งกับการรับรู้ของครูที่ตัดสินตัวเขาอย่างผิด
เช่น
เธอเป็นคนเกเร
เธอเป็นหัวโจก
เป็นต้น
ด้วยการแสดงออกที่ก้าวร้าวและปฏิเสธตนที่ถูกให้รับรู้
การยัดเยียดการรับรู้ให้แก่นักเรียน
เท่ากับเป็นการให้แรงเสริมลบแก่เขา
และเพื่อที่เขาจะได้รับแรงเสริมบวกเขาก็จะยอมรับเอาการรับรู้นั้นเป็นการรับรู้เกี่ยวกับตนเองและทำให้เป็นจริงดังที่ผู้อื่นรับรู้ในตัวเขา
ตนตามความเป็นจริง
(real self)
คือตนที่เป็นจริงตามที่ตนเองและผู้อื่นรับรู้
การยอมรับจากผู้อื่นว่าเป็นเช่นนั้นจริง
เป็นการเสริมแรงให้มีความเชื่อมั่นในตนเองเกิดขึ้น
ไม่ว่าความเชื่อมั่นนั้นจะเป็นพฤติกรรมบวกหรือลบก็ตาม
การรับรู้ตน
ยังมีการแบ่งออกในรูปแบบอื่น
ๆ
เช่น
โบล์ส์และดาเวนพอร์ท
(Boles and Davenport
เริงชัย
หมื่นชนะ
และคณะ
2538 : 26-27)
ได้แบ่งตัวตนออกเป็น 5
รูปแบบ
คือ
-
ตัวตนที่คาดหวัง (self
expectation)
เป็นตัวตนในอุดมคติ
ซึ่งบุคคลนั้นคาดหวังและมีความปรารถนาที่จะนำตนไปสู่จุดหมายนั้น
ตัวตนในอุดมคติจึงเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้บุคคลพยายามที่จะแสวงหาแนวทางให้ตนได้
-
ตัวตนที่รับรู้และมองเห็น
(self perception)
เป็นตัวตนในปัจจุบันที่บุคคลเข้าใจว่าตนเป็น
และยอมรับว่าเป็นตัวเรา
-
ตัวตนที่เป็นจริง (self
assessment)
เป็นตัวตนที่บุคคลนั้นเป็นอยู่จริง
ๆ
ไม่ว่าตนเองจะยอมรับหรือไม่
ตัวตนที่เป็นจริงของบุคคล
เกิดจากการประเมินอย่างมีหลักเกณฑ์
-
ตนที่ผู้อื่นคาดหวัง (other
expectation)
เป็นตัวตนที่ผู้อื่นคิดวาดภาพจากสิ่งที่พบเห็นในตัวบุคคลหนึ่งเอาไว้
จึงเป็นภาพที่ถูกเก็บไว้
-
ตนที่คนอื่นรับรู้ (other
perception)
เป็นตัวตนที่บุคคลอื่นรับรู้เกี่ยวกับตัวเราโดยสร้างขึ้นเป็นความคิดรวบยอดเกี่ยวกับตัวของบุคคลนั้นๆ
เป็นการรับรู้ในมุมมองของบุคคลอื่น
โดยการประมวลจากการรับรู้ทั้งทางตรงและทางอ้อม
ไม่ว่าการรับรู้ตนจะแบ่งรูปแบบอย่างไร
บุคคลย่อมมีการรับรู้ตนเองทั้งสิ้นการรับรู้ตนเองในทางที่ดีก็จะทำให้เกิดความสุข
สดชื่น
การรับรู้ตนเองในทางที่ไม่ดีก็จะทำให้เกิดอาการเครียด
และแสดงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์
จนถึงขั้นทำร้ายตนเองและผู้อื่นได้
การยอมรับตัวตน
การยอมรับตัวตน
คือ
การที่บุคคลยอมจำนนและเกิดความคิดและเข้าใจในตนเอง
การยอมรับตัวตนเกิดจาการที่บุคคล
วิเคราะห์ตนเองจากผู้อื่นและสิ่งแวดล้อม
บุคคลจะยอมรับตนเองได้ต่อเมื่อเกิดความเข้าใจในตนเอง
แต่การที่จะยอมเปลี่ยนแปลงตนเองหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความคิดและแนวทางในการดำเนินชีวิตของบุคคลผู้นั้น
จึงพบว่าแม้จะรู้ตัวว่าไม่ดี
แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตนเองได้มาก
การวิเคราะห์ตนเองจะทำให้บุคคลเกิดการตระหนักรู้เกี่ยวกับตนเอง
เพราะในชีวิตจริงแล้วบุคคลจะรับรู้ตนเองที่เบี่ยงเบนไปจากความเป็นจริงบ้าง
เนื่องจากเกิดจากความต้องการที่จะให้ภาพลักษณ์ของตนเองเป็นเช่นนั้น
ตามความอยากจะเป็น
เช่น
แสดงความอ่อนน้อมถ่อมตน
แสดงความก้าวร้าว
แสดงความสามารถ
ผลของการแสดงออกมาอาจจะทำให้ผู้อื่นเกิดการรับรู้ตามที่เห็นหรือไม่ก็ได้
แต่อย่างไรก็ตามการแสดงพฤติกรรมในสังคมอาจต้องมีการแสแสร้งและมีการเกรงใจกันและกัน
แต่ในขณะเดียวกันก็มีการปรักปรำ
ใส่ร้ายเพื่อทำร้ายกัน
จึงก่อให้เกิดการพิจารณาพฤติกรรมเชิงซ้อนขึ้น
เป็นการยากที่จะทำให้เกิดการรับรู้หรือตระหนักรู้เกี่ยวกับตนเองอย่างถูกต้อง
แต่อย่างไรก็ตามการพิจารณาตนเองอย่างเปิดใจกว้าง
จะทำให้เกิดการยอมรับตนเองได้ดีที่สุด
เพราะเป็นการแสดงตนเองให้ผู้อื่นรับรู้
จากทฤษฎี
หน้าต่างของ
โจฮาริ
เมื่อเปิดใจกว้างช่องที่1
ก็จะถูกเปิดกว้างเพื่อแสดงตนเองอย่างเปิดเผย
ทำให้ได้รู้จักกันและกัน
แต่การเปิดกว้างนั้นยังมีสิ่งที่อยากจะปิดบังไว้บ้างเนื่องจากเป็นความลับที่ไม่ต้องการจะให้ใครได้รู้จนกว่าจะมีความไว้วางใจ
กัน
ในขณะเดียวกันการแสดงตนเองจะทำให้ผู้อื่นรู้จักเรามากขึ้นจนสามารถเข้าใจในสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ตัวตนนั้นโดยพฤติกรรมที่แสดงออกมาโดยไม่ตั้งใจ
และสุดท้ายก็จะพบว่าไม่มีใครเข้าใจตนเองและเข้าใจผู้อื่นได้อย่างถ่องแท้เพราะยังมีความลึกลับอีกมากมายซ่อนอยู่ภายในตัวคนไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้
และถ้าเกิดการรู้ขึ้นมาก็จะรู้สึกแปลกใจที่ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
การรู้จักตัวตนของตนเองควรเริ่มต้นจากการศึกษาตนเองก่อน
เพื่อที่จะสร้างความคิดพื้นฐานเกี่ยวกับตนเองให้ได้
เมื่อเกิดความไม่แน่ใจจึงเริ่มการค้นคว้าเพื่อให้ได้ข้อมูลโดยการสังเกตตนเอง
สังเกตการตอบสนองจากผู้อื่น
หรือการสร้างความเข้าใจระหว่างตนเองกับผู้อื่น
เป็นต้น
บุคคลจะมีความสุขและรู้สึกสบายใจในการยอมรับตนเอง
และเข้าในตนเอง
ความสุขที่ได้จากการยอมรับตนเองมาจากการที่บุคคลสามารถสรุปได้ว่า
ตนเองเป็นอย่างไร
จึงทำให้เกิดการก้าวไปสู่การจัดการตนเองในระยะต่อมา
ซึ่งอาจทำให้เกิดการแสดงพฤติกรรมเพื่อย้ำว่าตนเป็นเช่นนั้นจริง
ๆ
เช่นครูที่มักจะกล่าวโทษเด็กว่าเป็นเด็กขี้ขโมย
หรือ
เป็นเด็กเกเร
ซ้ำ
ๆ
หลาย
ๆ
ครั้งก็จะก่อให้เกิดการรับรู้ตนเองในที่สุดว่าตนเป็นเช่นนั้นจริง
ก็จะแสดงพฤติกรรมให้ถูกต้องกับสิ่งที่ตนรับรู้
แต่พฤติกรรมเช่นนี้ทำให้เกิดความรู้สึกคับข้องใจทุกครั้งที่แสดงพฤติกรรม
เนื่องจากบุคคลจะไม่ยอมรับว่าตนเองไม่ดี
แต่ผลของการทำพฤติกรรมคือการได้ของที่ตนพอใจซึ่งเป็นของ
คนอื่นมาเป็นของตน
ทำให้เกิดความสุข
ประกอบกันกับมีการถูกรับรู้ว่าเป็นขโมย
ความสุขที่ได้รับจะเป็นตัวทดแทนความคับข้องใจที่ถูกตราหน้าว่าขโมยได้
แนวคิดในการสร้างตัวตนน่าจะเป็นแนวทางที่ครูจะช่วยนักเรียนให้การปรับพฤติกรรมการตระหนักรู้ตนเองเพื่อนำไปสู่การกระทำพฤติกรรมที่ดี
ซึ่งย่อมต้องเป็นหน้าที่ของครูอย่างที่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้
การให้แรงเสริมบวกและลบไม่ถูกต้อง
การแสดงอาการไม่เชื่อด้วยอาการที่เยาะเย้ย
การแสดงคำพูดที่ไม่บ่งบอกถึงความจริงใจปกปิดความเมตตาของครูไม่ให้ศิษย์ได้สัมผัสย่อมทำให้กระจกเงานั้นปิดเบี้ยวไปอย่างน่าเสียดายเวลาและความพยายามในการที่จะทำหน้าที่ที่ดีของครูในฐานะครูมืออาชีพของชาติ |