ดร.สุภัททา ปิณฑะแพทย์

Dr.Supatta Pinthapataya

email: supattapin@yahoo.com







ใครผิดใครถูก

เมื่อพูดถึงการช๊อปปิ้งในห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ ในสมัยนี้ ก็ทำให้ฉันนึกขึ้นมาได้ว่าได้ห่างเหินกับพฤติกรรมนี้มาเสียนาน  เนื่องจากสังขารเป็นพิษ  มีฤทธิ์เป็นความแก่ เดินไปยืดหลังไป เพราะเกิดอาการปวดเมื่อยไปทั่วร่างกาย เมื่อต้องเดินนาน ๆ บางครั้งอยากจะลงนั่งยอง ๆ กับพื้นด้วยซ้ำไป นอกจากนี้ฉันยังเป็นผู้หนึ่งที่จำทิศทางเดินไม่ค่อยจะได้เลย ถ้าเกิดพลัดหลงกันเมื่อไหร่ละก็จะต้องเดินหาทางออกด้วยตัวเองจนหัวหมุน และก็เพราะอย่างนี้แหละที่ทำให้ฉันไม่กล้าแม้แต่จะละสายตาไปจากกลุ่มพ่อลูก เพราะถ้ามีการพลัดหลงกันเกิดขึ้นละก็  บอกได้คำเดียวว่าเหนื่อยเพราะหาไม่เจอแน่  ดังนั้นการช๊อปปิ้งของฉันคือการเดินตามลูกและสามี ไปไหนไปกัน มีอะไร ๆ ก็ดู ๆ ไป ไมได้ซื้อก็ไม่เป็นไร แต่หลัง ๆ มานี้ฉันเริ่มจะเห็นสัจธรรม ว่า การอยู่บ้านน่าจะเป็นความสุขของฉันมากกว่า แต่การปฏิเสธของฉันนั้นทำให้พ่อลูกต้องอดไปเดินอปปิ้งไปด้วยซึ่งในบางครั้งฉันก็ฉันก็ต้องจำใจยอมเพราะไม่เช่นนั้นจะถูกกล่าวหาว่าเป็นตัวการในการที่ทำกิจกรรมกลุ่มล่ม

การเข้ามาซื้อของขวัญในเทศกาลจำเป็นนี้ได้กลายเป็นคุณ(ประโยชน์)เพราะทำให้ฉันได้พบสัจธรรมที่ว่า  เงินก็ซื้ออะไรๆ ไม่ล่ายหลั่งจาย เหมือนกัน เพราะกว่าจะได้สินค้าแต่ละชิ้นต้องแหวกคนจนเหนื่อย แย่งกันหยิบฉวยสินค้าเหมือนกับว่าเขาแจกฟรี แล้วยังต้องยืนเมื่อยรอของกับตังทอนอีกต่างหาก  ทางร้านก็ไม่ง้อ(ดูจากสีหน้าและกิริยาของคนขาย)  ก็เพราะทุกคนมารุมกันแย่งกันจ่ายเงินให้ยู่แล้ว   ฉันตั้งข้อสังเกตว่าในวันนั้นน่าจะแบ่งกลุ่มคนออกได้เป็นกลุ่ม ๆ นอกจากเพศ และอายุแล้ว ดังนี้ กลุ่มที่หนึ่งกลุ่มคนที่จำเป็นต้องซื้อของที่จำเป็น เพราะจำเป็นต้องใช้ กลุ่มที่สองคือกลุ่มคนที่ไม่จำเป็นต้องซื้อของที่จำเป็นเพราะยังไม่จำเป็นต้องใช้ และยังไม่ถึงเวลาต้องซื้อ กลุ่มที่สามกลุ่มคนที่ซื้อของไม่จำเป็นต้องใช้เลยเพราะซื้อไปให้คนอื่นใช้ เป็นกลุ่มที่ทำให้มีคำพูดที่ว่า คนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ กลุ่มที่สี่ กลุ่มอื่น ๆ ไม่ได้ตั้งใจมาซื้ออะไร มาเที่ยวเล่น มาเรียนหนังสือ (ตามห้าง) และกลุ่มกิจกรรมพิเศษ เช่น ขายของ ดนตรี เกมส์ ต่าง ๆ อีกมากมาย เป็นต้น การรวมกลุ่มของคนเหล่านี้ในห้างต้น (ือบครัว่างคิดจึ คือกันไป ดังนั้นจึงพบว่ามีผู้คนมากมายแห่กันเข้ามามากมาย บ้างก็ทำกิจกรรมเดี่ยว บ้างก็ทำกิจกรรมเป็นกลุ่ม แต่บ้างก็มากันมากกว่าจะเป็นกลุ่ม  (คือ  มากันเป็นฝูง) กลุ่มเหล่านี้มาทำวิจัยจะสามารถแบ่งออกได้เป็นประเภทต่าง ๆ อย่างที่นักวิจัยมักจะจัดกระทำกับกลุ่มตัวอย่างประชากรได้ดังนี้ กลุ่มเพศเดียวกัน กลุ่มต่างเพศกัน กลุ่มวัยเดียวกัน  กลุ่มต่างวัยกัน  กลุ่มครอบครัวและกลุ่มไม่ครอบครัว  ฯลฯ   แต่อย่างไรก็ตามการมาเป็นกลุ่มนั้นขอแนะนำว่าต้องทำกระบวนการกลุ่มให้เป็น เพราะต่างฝ่ายต่างจะอยากทำพฤติกรรมกันตามที่ตัวต้องการไม่ได้อย่างเด็ดขาด เวลาไปไหนก็ต้องจูงมือกันเป็นหางด้วยกลัวว่าจะหลงทางกัน บางกลุ่มลงทุนซื้อพวงกุญแจพูดได้คอยเปิดขอทางว่า ขอทางหน่อยค่ะ ๆ ๆ ทำให้ทุนแรงปากไปได้มากเหมือนกัน

เมื่อมีโอกาสเข้ามาเป็นหนึ่งในกลุ่มคนเข้าห้างแล้วก็อดจะสังเกตพฤติกรรมกลุ่มครอบครัวเสียไม่ได้ เพราะดูแล้วน่ารัก น่าอบอุ่นดีสำหรับคนอื่น ๆ ที่จะชื่นชมเมื่อเห็นภาพนี้ แต่ถ้าได้เข้ามาเป็นสมาชิกกลุ่มแล้วละก็จะพบกับความน่าหมั่นเขี้ยวได้เหมือนกัน โดยเฉพาะครอบครัวที่มีลูกตัวน้อย ๆ ที่ดื้อตาใส งอแงและเจ้าปัญหามาด้วย ปัญหาแรกมักจะเป็นปัญหาลูกไม่ยอมเดินเองจะให้อุ้ม แต่จะว่าเด็กก็ไม่ได้ก็มันเมื่อยนี่นา เดินดูอะไรกันก็ไม่รู้ แต่ปัญหานี้เล่นไม่ยากเพราะพออุ้มเขาขึ้นมาความงอแงก็หาย แต่ปัญหาที่ตามมาเมื่อเด็กไม่ต้องเดินก็คือและอยู่สูงพอที่จะสอดส่ายสายตาหาสิ่งที่น่าสนใจและน่าเล่นต่อไป ฉันสังเกตเห็นว่าเด็กมักจะเหวี่ยงตัวโยนออกจากอ้อมแขนเพื่อคว้าสิ่งต่าง    ที่ผ่านเข้ามาใกล้แค่สุดเอื้อมอยู่เรื่อย  ๆ สิ่งที่คว้าได้บางครั้งก็เป็นสิ่งที่ไม่ได้ต้องการอย่างจริงจัง พอบอกให้ปล่อยมือก็จะยอมโดยง่าย แต่ถ้าบังเอิญสิ่งที่คว้านั้นเป็นสิ่งที่เกิดอยากได้ขึ้นมาละก็ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นของเล่นของเด็กหรือไม่ก็ตาม บอกได้คำเดียวว่าเป็นเรื่อง สำหรับเด็กที่โตหน่อย(3-4ขวบ)  อาการอยากได้ของเล่น มักทำให้เกิดเป็นศึกย่อยๆ เรียกว่าศึกกลางห้างกันมานักต่อนัก กว่าจะทำสัญญาสงบศึกกันได้ก็เล่นเอาหมดอารมณ์กันไปทั้งกลุ่มเลยทีเดียว  เด็กบางคนร่ำไห้  พร้อมทั้งหันมาต่อว่าค่อนขอดว่า แม้หนูจะซื้อแล้วเล่นแค่ทีสองทีก็ยังดีกว่า ใครบางคนที่ซื้อแล้วซุก ไม่เคยเอาออกมาใช้เลย ฮือ ๆ เอาผู้ใหญ่ที่เดินอยู่รอบ ข้างสะดุ้งรู้สึกตัวก้มลงมองของที่เพิ่งจะแย่งกันซื้อมา แล้วทำท่าพยักพเยิดว่าเป็นความจริง เด็กอะไรช่างพูดเหน็บแนมแกมสะกิดใจได้ดีจริง ๆ 

ความจริงแล้วปัญหาเด็กอยากซื้อของเล่นนี้เป็นปัญหาที่น่าวิเคราะห์ว่ามีสาเหตุมาจากอะไรและใครคือต้นตอของสาเหตุที่แท้จริง  จะได้ไม่มา  จี  จ่อ  เจี๊ยะ  กับจำเลยตัวกะเปี๊ยกเรี๊ยกเท่านั้น  คุณโจทย์  (พ่อแม่)ก็ควรจะต้องหันมาดูตัวเองไปพร้อม ๆกัน ไม่แน่นา ไปไป มามา คุณโจทย์อาจจะกลายมาเป็นจำเลยก็ได้  ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ สิ่งที่จะต้องพิจารณาเป็นอันดับแรก  คือ  พฤติกรรมทางด้านอารมณ์และการแสดงออกของเด็กที่ตอบโต้กับสิ่งแวดล้อมในสภาพชีวิตประจำวัน  เด็กที่มีอาการ  ดื้อสุด ๆ ทั้งหลายมักจะเป็นเด็กที่ถูกตามใจจากพ่อแม่และคนที่อยู่รอบข้างเสียจนรู้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะชนะ  จนพ่อแม่บางคนยอมรับว่าบางทีต้องลุ้นกันแบบสุดๆ วัดใจกันอย่าง  จะจะ  แต่ไม่รู้เป็นอย่างไร ตัวเล็กมักได้เปรียบเสมอ เด็กมักจะเคยแต่เล่นเป็นฝ่ายชนะ    ไม่ว่าผิด   หรือถูก   ด้วยพฤติกรรมใด   ก็มักจะทำพฤติกรรมที่ทำให้ตนชนะได้นั้นอย่างสม่ำเสมอ  เช่น  ถ้าอาละวาดแล้วได้ของเล่น  คราวหน้าถ้าอยากได้ของเล่น  พูดกันดี ๆ แล้วไม่ได้   ก็งัดเอาไม้เดิมที่เคยใช้แล้วได้ของเล่นมาใช้   ก็เท่านั้นเอง  แล้วเด็กก็จะเห็นว่าพฤติกรรมการอาละวาดนี้แหละที่ดีและ  มีประโยชน์  จึงเก็บไว้เป็นประสบการณ์และจะนำออกมา ใช้ในคราวต่อไปทุกครั้ง ถ้ายังใช้ได้ผลดี ธอร์นไดค์    (Thorndike)  นักจิตวิทยาการเรียนรู้ท่านหนึ่ง กล่าวว่า บุคคลจะเก็บพฤติกรรมที่กระทำแล้วได้ผลไว้เพื่อแสดงในครั้งต่อ ๆ ไปเสมอจนกว่าพฤติกรรมนั้นจะใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป (Law of Effect) ตอนนี้เห็นแล้วหรือยังว่าไผเป็นไผ ถ้าคุณไม่อยากเป็นผู้อยู่ในคอนโทรลของโค๊ชรุ่นเยาว์ก็ต้องคิดหาทางออกให้ได้เช่นกัน เด็กน่ะเขายังรู้อีกว่าอะไรบ้างที่จะนำมาใช้ต่อรองได้ ให้พ่อแม่ยอมจำนนได้ เช่น ถ้าความอับอายของพ่อแม่เป็นสิ่งที่เด็กพิจารณาเห็นว่าใช้แล้วได้ผล  เด็กก็จะนำเอาพฤติกรรมของตนที่จะทำให้พ่อแม่เกิดความอับอายนั้นมาเป็นตัวเชื่อมโยงวางเงื่อนไขเพื่อใช้บังคับให้พ่อแม่ซื้อของเล่นได้ต่อไปอีกทอดหนึ่งด้วย  น่าสนุกดีออก   แต่สำหรับพ่อแม่แล้วการที่พ่อแม่ยอมแพ้และให้เขาได้ในสิ่งที่ต้องการ  ก็อาจเกิดจากการที่พ่อแม่ต้องการจะแสดงความรักลูกโดยทางลัด  เพราะไม่มีเวลาให้กับลูก จึงไม่อยากที่จะขัดใจและการแสดงความรักผ่านสื่อที่เป็นวัตถุสิ่งของก็น่าจะทดแทนได้ จึงกลายเป็นช่วยทำให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์มากยิ่งขึ้น ตอนเป็นเด็กเล็กๆ  ก็ดูน่าเอ็นดูดี แต่ลองนึกภาพลูกตัวโต ๆ แล้วอาละวาด มันน่าสะพึงกลัวเพียงใด

สิ่งที่ต้องพิจารณาในอันดับต่อไปก็คือ  คำสัญญาของพ่อแม่ ที่มักจะเผลอสติ พลั้งปาก สัญญิงสัญญากันเอาไว้อย่างขอไปที เป็นทำนอง เช่น  "ถ้าหนูไปโรงเรียนไม่งอแงคุณพ่อ(คุณแม่)จะพาไปซึ้อของเล่นแยะ  ๆ"  หรือว่า "หนูให้น้องนะจ๊ะแล้วแม่จะซื้อให้ใหม่" เป็นต้น ลูกก็เก็บความพอใจอันนี้ไว้ โดยเก็บแต่ข้อมูลที่ว่าจะได้ของเล่นใหม่เท่านั้นเมื่อมีสัญญาที่จะให้ทำความดีเป็นการแลกเปลี่ยนตั้งหลายพฤติกรรม  เมื่อมาได้รับการปฎิเสธในสถานการณ์ที่ควรจะได้เด็กจึงเกิดความโกรธและอาละวาด (แล้วอย่างนี้ใครเป็นคนผิด)  แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ฉันกลัวว่าจะต้องเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นแก่ตัวฉันเพราะเจ้าหลานตัวน้อย    ก็ชักจะเริ่มโต วันโตคืน ประวัติศาสตร์จะต้องย้อนหวนคืนกลับมาแน่ ๆ ในไม่ช้านี้ ฉันจึงต้องรีบไปซ้อมรับมือกับเพื่อนนักจิตวิทยา  (คนเดิม)  เป็นการฝึกวิทยายุทธเพื่อการต่อสู้เชิงรุก เธอสอนฉันอย่างกับสอนนักศึกษาด้วยน้ำเสียงที่เป็นงานเป็นการว่า การป้องกันเพื่อไม่ให้เหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์นี้เกิดขึ้นซึ่งมีหลายวิธี  เช่น  นำของเล่นที่เป็นของโปรดติดตัวไปบ้างสักชิ้น  สองชิ้นเพื่อให้รู้ว่าเขามีของเล่นแล้ว  ผสมผสานกับการใช้ลูกล่อลูกชน เป็นการเบี่ยงเบนความสนใจพร้อมทั้งพยายามค่อย ๆ เลี่ยงออกจากที่นั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ สำหรับอีกวิธีหนึ่งที่ฉันเห็นว่าได้ผลดีก็คือ การให้เด็กรับผิดชอบจำนวนเงินด้วยตัวเขาเอง เช่น จะมอบเงินให้ไว้สามสิบบาท ถ้าอยากได้อะไรก็ให้เลือกเอาเอง เด็กต้องเลือกในวงเงินที่กำหนด    เมื่อเขาได้มีส่วนที่จะตัดสินใจเลือกสิ่งที่เขาต้องการก็จะเป็นการหันเหความสนใจความอยากได้มาเป็นการคิดแก้ปัญหาว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้ตนเองได้รับความพอใจมากที่สุดด้วยเงินที่มีอยู่    ซึ่งกติกาที่ว่านี้ควรจะต้องมีการตกลงกันไว้ก่อนล่วงหน้า  ไม่ใช่กระทำกันเมื่อลูกทำท่าจะเป็นโค๊ช  หรือกลายมาเป็นลูกตัวดีที่หนึ่งไปเสียแล้ว เมื่อนั้นก็คงจะต้องตะเบ็งเสียง ทั้งปลอบและขู่แข่งกับเสียงร้องคร่ำครวญ  แล้วก็โปรดเตรียมใจเป็นผู้แพ้ไปได้เลย  เพื่อนของฉันยังสอนต่อไปอีกว่าถ้ามาถึงขั้นนี้แล้วก็ขอได้โปรดทำใจ หันมาคิดว่าถ้าเราเป็นเด็กเมื่อพามาดูของเล่นแล้วไม่ได้ของเล่นอะไรติดไม้ติดมือเสียเลย แล้วจะพามาทำไมให้เมื่อย (วะ) จะได้ยอมแพ้เด็กได้ทั้งกายและใจแต่อย่างไรก็ตามวิธีที่เสนอแนะมานี้ได้มีผู้นำไปใช้ได้ผลและได้กลายเป็นผู้ชนะมาแล้วแต่ถ้าท่านผู้อ่านมีวิธีที่ดีวิธีอื่นอีกก็ขอให้เสนอแนะมาเพื่อเป็นวิทยาทานเราอยากให้ลูกหลานของเรานั้นเป็นเด็กที่รู้จักคิดและมีเหตุมีผลก็ต้องฝึกกันตั้งแต่เล็กแต่น้อยกันแหละ            

© Copyright 2010. All rights reserved. Contact: supattapin@yahoo.com