| 
      
      ผิดที่ภาษา 
      
      เช้าวันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่หน้าบ้านเมือง
      (Town House)
      
      องฉันอยู่นั้น  
      
      พลันสมาธิของฉันก็ต้องแตกกระเจิง
      
      เมื่อได้ยินเสียงคุณนายข้างบ้าน
      
      ส่งเสียงกรี๊ดกร้าดลั่นบ้านดุด่าสาวใช้ของเธออย่างโกรธแค้น
      
      ความที่บ้านของเราใกล้ขิดกันมากฉันจึงพลอยได้รับรู้เรื่องราวไปด้วย  
      
      ใจความตอนหนึ่งที่เธอกล่าวหาสาวใช้ของเธอก็คือ
      
      ทุกครั้งที่เธอจัดหาของเตรียมไว้เพื่อเป็นอาหารว่างสำหรับลูก 
      ๆ 
      และสามี
      
      แล้วสั่งให้สาวใช้ไปทำอาหารว่างให้ด้วย
      
      แม่สาวใช้ตัวดีก็ไม่ทำให้ 
      
      นัยว่าไม่ทำตามคำสั่งมาหลายครั้งแล้ว 
      
      จนเธอทนไม่ไหวต้องเอาเรื่องเสียบ้างจะได้เข็ดหลาบ  
      
      ฉันสรุปเอาเองว่า  
      
      สาวใช้คนนี้คงจะผิดจริง 
      
      เพราะไม่ได้ยินเสียงเถียงนายเลย 
       
      
      ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
      
      ดังนั้นเมื่อสบโอกาส
      
      ฉันจึงเลียบเคียงถามความเป็นไป
      
      และเป็นมาของเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นกับสาวใช้ผู้อ้วนเป็นหมี
      
      และพลีเป็นมันคนนั้น
      
      ตามนิสัยของคนไทยที่อยากรู้เรื่องไปเสียทุกเรื่อง
      
      สิ่งที่ฮันได้รับทราบในวันนั้นทำให้เกิดอาการอึ้งไปเลย 
                 "ก็คุณนายสั่งให้ทำอาหารว่าง
      
      หนูก็ทำอาหารว่าง
      
      ว่างจนเกลี้ยงไม่ให้เหลือเลยแม้แต่นิดเดียวคุณนายก็ยังไม่พอใจ
      " 
      
      สาวใช้คนดีโอดครวญทันทีเมื่อมีโอกาสระบายความในใจ         
       
                 "บางทีหนูอิ่มจะตายอยู่แล้วก็ยังต้องพยายามกินให้หมด 
      
      เพราะเสียดายของ
      
      แต่คุณนายก็ยังโกรธทุกที 
      
      หาว่าหนูไม่ทำอาหารว่าง 
      
      ไม่รู้ว่าจะให้หนูทำอาหารว่างไปถึงไหน
      " 
      
      เธอกล่าวอย่างอึดอัดและน้อยใจเธอย้อนถามฉันว่า
      "อาจารย์ว่าใครผิดคะ"  ฉันก็ไม่แน่ใจหมือนกันแต่วันนั้นตอบเธอไปว่า
      "ภาษามั้ง"            
       
      
      แต่อย่างไรก็ตามคำสารภาพของเธอผู้นี้ทำให้ฉันได้ฉุกคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในสถาบันของฉันเมื่อไม่นานมานี้
      
      ตอนที่ทางสถาบันของฉันได้จัดให้มีการประชุมสัมนาทางวิชาการเมื่อถึงเวลาเปิดงานก็ต้องมีการไปรับประธานเข้ามาในงานเพื่อทำพิธีเปิดหัวหน้างาน
      
      จึงกระซิบให้อรดีเลขาของงานไปรับประธานได้แล้ว อรดียกมือไหว้แล้วกล่าวขอบคุณ 
      
      ก่อนที่จะเดินออกไปจากห้องประชุมอย่างขมีขมัน 
      
      ฉันยังนึกชมอยู่ในใจว่าเด็กคนนี้ช่างเรียบร้อยดี
      
      และดูท่าจะเอางานเอาการ 
      
      แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเห็นอรดีกลับเข้ามาอีกเลย 
      
      ทุกคนรอประธานที่อรดีไปรับจนทนไม่ไหว
      
      ต้องให้อาจารย์อีกท่านหนึ่งไปทำหน้าที่แทน
      
      จนกระทั่งการสัมมนาได้เริ่มต้นแล้วสักครู่ใหญ่อรดีจึงกลับเข้ามาด้วยท่าทีที่มีความสุขเกษมเปรมปรีดิ์   
      
      ซึ่งทำให้หลายคนสงสัยในพฤติกรรมของเธอเป็นอย่างยิ่ง 
      
      เพื่อนของฉันซึ่งเป็นหัวหน้างานโกรธมากถึงกับเรียกอรดีไปต่อว่า
      
      ต่อขานอย่างเผ็ดร้อน
      
      นัยว่ามีการร้องห่มร้องไห้กันยกใหญ่
      
      อรดีเธอยืนยันในความบริสุทธิ็ของเธอว่า
      
      เธอไม่ผิดก็บอกให้เธอไปรับประธาน
      (เพื่อมาทำพิธีเปิดงาน) 
      
      เธอก็ไปรับประทาน
      (อาหาร) 
      
      ตามที่อนุญาต
      
      เพราะกำลังหิวพอดีเนื่องจากรีบจนไม่ได้รับประทานข้าวเช้า
      
      แล้วจะมาโกรธเธอได้อย่างไร
      
      งานนี้มีผู้ตัดสินว่า
      “ภาษามั้ง”
      
      เป็นผู้ผิดแต่เพียงผู้เดียว
      
      น่าสงสารภาษา          
      
      เรื่องของน้องสาวคนเล็กของฉันก็น่าจะเป็นเรื่องผิดที่ภาษาได้เหมือนกัน
      
      ก็เพราะผิดที่ภาษานี่แหละที่ทำให้ในระยะหลัง
      ๆ 
      นี้ 
      
      ทำให้เธอมักจะแอบมาร้องไห้คร่ำครวญกับฉันว่า
      
      สามีของเธอนั้นสงสัยจะต้องมีอะไร 
      
      ไม่ชอบมาพากลแน่เลย  
      
      ไม่ว่าเธอจะอยากพูดอะไร
      
      หรืออยากจะทำอะไร   
      
      เขาก็จะยีนกรานแบบกระต่ายขาเดียวกับเธอว่า  "หย่าเลย" 
      
      จนเธอไม่กล้าที่จะเอ่ยปากพูดหรือทำอะไรอีกแล้ว  
      
      และเธอพูดเสริมต่ออย่างคนที่ตัดสินใจแล้วว่า
      "ถ้าหนูทนไม่ไหวเมื่อไหร่
      
      ก็จะหย่า  
      ๆ
      
      ให้รู้แล้วรู้รอดไป
      
      ไม่ให้มานั่งพูด
      
      หย่าเลย 
      ๆ
      
      อยู่หรอก" 
      
      ฉันปลอบเธอว่า
      
      เธอคิดไปเองหรือเปล่า เพราะเท่าที่สังเกตจากพฤติกรรมที่เขาปฎิบัติต่อเธอและลูก
      ๆ 
      แล้ว
      
      ฉันกล้ายืนยันได้ว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ 
      
      แต่เธอก็ยืนยันว่าเธอไม่ได้คิดไปเองแน่นอน   
      
      เธอก็อ้อนวอนให้ฉันช่วยค้นหาความจริงให้เธอด้วย
      
      ฉันรับคำและรีบดำเนินการทันที
      
      แต่หลังจากที่ฉันลงมือดำเนินการสืบสวนสอบสวนไปได้ไม่กี่คำ
      
      ฉันก็ได้ค้นพบความจริงว่าคำว่า
      
      หย่าเลย 
      
      ของน้องสาวคนช่างคิด
      (ไม่เข้าเรื่อง) 
      ของฉันนั้น มันก็คือ
      
      คำว่า 
      อย่าเลย
      
      ของสามีคนช่างห้าม
      (อยู่เรื่อย)
      
      ของเธอ 
      
      นี่ถ้าไม่เข้าไปสืบล่าหาความจริง
      
      ป่านนี้ก็คงไม่รู้ว่าภาษาทำความผิดเข้าให้อีกแล้ว
       
      
      น้องสาวฉันบอกว่าตอนนี้กำลังโกรธภาษาเลยพูดภาษาและใช้ภาษาเท่าที่จำเป็น
      
      แต่ไม่รู้ว่าฉันตาฝาดไปหรือเปล่าที่เห็นน้องเขยและหลาน
      ๆ 
      
      ของฉันแอบยิ้มให้กันอย่างพอใจที่ภาษาทำความผิดแล้วแม่เลยโกรธไม่ยอมใช้ภาษา
      
      ทำให้บ้านเงียบเสียงบ่นไปจมเลย    |