คำผวนชวนคิด
ภาษาไทย
เป็นภาษาที่มีลักษณะพิเศษประการหนึ่ง
คือสามารถนำคำศัพท์ตั้งแต่สองคำขึ้นไปมาพูดสลับกันแล้วได้คำที่มีความหมายเป็นอีกอย่างหนึ่งได้
เมื่อไม่นานมานี้เพื่อน
ๆ
ร่วมรุ่นที่เคยเล่าเรียนด้วยกันได้คิดที่จะตั้งชมรมกันขึ้น
จึงได้มีการโหวตเสียงตั้งชื่อชมรม
หลายคนก็ออกความคิดเห็น
มีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวางด้วยหลักวิชาการต่าง
ๆ
นานา
จนในที่สุดก็ได้ชื่อชมรมว่า
"กล้วยไม้"
ฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่ออกเสียงโหวตชื่อนี้
เพราะชอบกล้วยไม้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
เมื่อชื่อนี้ชนะการโหวตฉันจึงมีความปลาบปลื้มและมีความสุขมาก
จนอดที่จะเล่าเรื่องการจัดตั้งชมรมและการตั้งชื่อชมรมให้สามีฟังไม่ได้
สามีของฉันก็ช่างแสนดี
ตั้งอกตั้งใจฟังจนจบพร้อมทั้งชมว่าพวกฉันตั้งชื่อชมรมได้อย่างสมเหตุสมผลทีเดียว
พร้อมทั้งเน้นแสดงการเห็นชอบเป็นอย่างยิ่งด้วยว่าเป็นชื่อชมรมที่ช่างเหมาะกับกลุ่มของพวกฉันเป็นที่สุด
โดยให้เหตุผลที่ทำให้ฉันต้องรีบโทรศัพท์กลับไปหาเพื่อนที่เป็นหัวหน้าชมรมว่าขอบรรจุวาระทบทวนการตั้งชื่อชมรม
ในการประชุมคราวหน้า
เพราะที่สามีของฉันบอกว่าเหมาะนั้นเขาให้เหตุผลว่า
พวกคุณก็เป็นพวก
“ใกล้ม้วย”
สมจริง
ตามชื่อนั่นแหละ
เสน่ห์ของภาษาคำผวนทำให้พวกฉันเกือบจะเสียรู้ไปเสียแล้วซี
การเล่นคำผวนนี้บางครั้งอาจจะนำมาเล่นเพื่อให้เกิดความสนุกสนานเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศในการสื่อความหมาย
โดยคำนึงถึงคำศัพท์ที่จะต้องกลับแล้วได้ความหมาย
การเขียนแบบสลับคำนี้ทำให้ได้อรรถรสเพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่ง
ดังโคลงสี่สุภาพที่สุนทรภู่ที่ได้แต่งไว้โดยเล่นคำผวน
ในลักษณะดังนี้
เฉน็งไอมาเวิ่งเว้า
วู่กา
รูกับกาวเมาแต่ยา
มู่ไร้
ปิดเซนจะมู่ซา
เคราทู่
เฉะแต่จะตอบให้
ชีพม้วยมังรณอฯ
ในบางครั้งการเล่นคำผวนก๊อาจจะทำให้
คำบางคำในภาษาไทยเป็นภาษาที่ใช้พูดกันปกติแต่เมื่อนำมากลับเป็นคำผวนแล้วจะมีความหมายที่หยาบคาย
ไม่สุภาพก็ได้
เมื่อฉันจบการศึกษาออกมาเป็นครูใหม่
ๆ
ก็มีผู้หวังดีว่า
เมื่อมาเป็นครูแล้วถ้ายังไม่ได้เป็นอาจารย์ละก็ขอร้องว่าอย่า
“ป่วย”
เป็นอันขาด
เพราะนักเรียนของฉันบางคนอาจจะพูดตัว
ร
ควบกล้ำไม่ชัดด้วย
ดังนั้นทางที่ดี
ฉันจึงต้องไม่ป่วยในขณะที่ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์อย่างเด็ดขาด
ในตอนแรกฉันก็งงว่า
ทำไมการมาเป็นครูจึงต้องมีการบังคับไม่ให้ป่วยด้วย
ฉันก็พาซึ่อโต้เถียงเขาไปว่าความป่วยมันห้ามได้เสียเมื่อ
ไหร่
กว่าจะรู้ว่าเขาใช้คำผวนมาเล่นกันสนุก
ๆ
เท่านั้นเอง
เพื่อนบอกว่า “เล่นกับคนซื่อบื้ออย่างเธอนี่ไม่สนุกเลย”
ดังนั้นเพื่อให้เพื่อนเล่นกับฉันให้สนุก
ๆ
หน่อย
เมื่อเพื่อนพูดอะไรให้ฟัง
ฉันก็จะกลับเอามาคิดผวนจนปวดหัว
ยังนึกโมโหเพื่อนที่เล่นไม่เลิก
แต่พอเจอหน้าเพื่อนแล้วต่อว่าเขาไป
เพื่อนก็กลับตอกหน้าฉันกลับมาว่า
“เธอนี่แปลก
เป็นคนคิดมากไม่เข้าเรื่อง”
ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าเมื่อไหร่จะมาพูดคำผัน
เมื่อไหร่จะพูดคำผวน
เล่นกันอย่างนี้
คนอินโนเซ้นท์อย่างฉันก็ต้องงงเป็นธรรมดา
นอกจากเรื่องนี้แล้วฉันยังพบอีกว่า
มีคำอีกหลาย
ๆ
คำ
ที่ฉันในฐานะเป็นครูต้องหลีกเลี่ยงและคอยระมัดระวังที่จะไม่ให้พลั้งปากพูดออกไปอยู่เสมอ
เช่น
การว่านักเรียนว่า
“หูไม่ดี”
ซึ่งครูมักจะนำมาว่านักเรียนที่ไม่ฟังคำสั่งแล้วขอร้องให้ครูพูดใหม่อีกที
สิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันต้องใช้สมองระมัดระวังขณะบรรยายหรือสั่งงาน
ฉันจึงเหนื่อยกับการสอนทากเพราะมีอาการวิตกจริตกับคำผวนเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อหมดชั่วโมงสอนในแต่ละวันฉันแทบจะเดินลิ้นห้อยกลับลงมา
เพื่อน
ๆ
ต้องช่วยกันหาน้ำ
หาข้าวให้กิน
เพื่อน
ๆ
ต่างคิดว่าฉันคงจะแพ้การสอน
เพราะไม่รู้ความจริงว่า
ฉันแพ้คำผวนคำผวนต่างหาก
ในยามที่ฉันนั่งคิดคำนึงถึงแต่คำผวนพลันฉันก็จำได้ว่าในสมัยที่เรียนอยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
ซึ่งมีชั่วโมงการเขียนจดหมาย
ครูผู้สอนภาษาไทยธุรกิจของฉันท่านได้เน้นนักเน้นหนาว่า
ไม่ให้เขียนคำว่า “เห็นควรด้วย”
อย่างเด็ดขาดซึ่งตอนนั้นฉันก็ไม่เข้าใจเลว่าทำไมจึงไม่ให้ใช้
เพราะเขียนแล้วอ่านดูดีออกจะตายไป
เพิ่งจะมารู้เอาเมื่อตอนแก่วิชาคำผวนนี่แหละ
ซึ่งก็นับว่าเป็นความละเอียดรอบคอบของคุณครูที่เกรงว่าคุณลูกศิษย์จะเขียนภาษาสวยนี้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
แสดงว่าท่านก็คิดลึกเก่งเหมือนกัน
และพร้อม
ๆ
กันนี้ฉันก็เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้และเริ่มเข้าใจว่าทำไมเมื่อตอนที่ฉันขึ้นไปร้องเพลงของคุณพุ่มพวงในงานชมรม
ที่มีเนื้อร้องว่า
ถอยห่างอีกนิด
อีกนิดนั่นแหละ
ห่างอีกสักนิด
สักนิดนั่นแหละ
แหนะ
ๆๆๆๆๆแน้
ทำตาหวานฉ่ำ
จ้องมองล่วงล้ำ
คิดจะหม่ำ
.....
เท่านั้นแหละพวกเพื่อนๆ
ของฉันเข้ามาโวยวายให้ฉันหยุดร้องเพลงนี้
พร้อมทั้งสั่งห้ามฉันร้องเพลงนี้ในงานโชว์เสียงเพลงอย่างเด็ดขาด
เพราะเพื่อน
ๆ
เชื่อว่าฉันมีทีท่าจะต้องได้เป็นคุณนายผู้ว่า
ฯ
ในอนาคตแน่
ๆ
จึงต้องปรามไว้ก่อน
ประกอบกับพวกเราเป็นชาววัง
(เพชร)
กันทั้งนั้น
แต่พวกเพื่อน
ๆ
เหล่านี้ก็แย่มากไม่ได้บอกอะไรแก่ฉันมากไปกว่านี้
เพียงแต่บอกว่าขอให้เชื่อเพื่อน
ๆ
เถอะนะ
อย่าได้ไปเสียดายเพลงนี้เลย
จะให้ไหว้ก็ยอม
เพื่อน
ๆ
ลงทุนยอฉันว่าฉันร้องเพลงอื่น
ๆ
เพราะกว่าเพลงนี้เสียอีก
ตอนนั้นฉันยังนึกไปว่าพวกเพื่อน
ๆ
ของฉันมาแปลก
เพลงก็ไพเราะพริ้ง
แล้วก็มีท่วงทำนองที่สนุกดีด้วย
กลับไม่อยากฟังเราร้อง
แต่พอฉันมีความเข้าใจเรื่องคำผวนดีแล้ว
ก็ให้นึกขอบคุณเพื่อน
ๆ
ที่หวังดีเหล่านั้นทุกคน
เพราะไม่เช่นนั้นฉันอาจจะถลำร้องเพลงนี้ในงานการกุศลเข้าสักวันก็ได้
แต่อย่างไรก็ตามฉันก็ยังสงสัยอยู่ว่าพวกเพื่อนๆของฉันคิดลึกซึ่งมากเกินไปหรือเปล่า
จากประสบการณ์ของการใช้คำผวนทำให้ฉันรู้สูตรว่าเวลาจะพูดอะไร
ที่
เป็น
ค
ควาย
ห
หีบ
ย
ยักษ์
หรือคำที่มีเสียงพ้องกับอะไรสักอย่างละก็ต้องระวังสระที่จะมาผสมกับคำที่อยู่ถัดไปด้วย
ไม่เช่นนั้นก็จะถูกฮา
หน้าแตกเอาได้ง่ายๆ
ไม่เว้นแม้แต่ภาษาต่างประเทศที่นำมาใช้ทับศัพท์
เช่น
หลี….ฮวด
อะไรทำนองนี้
ก็ต้องระวังเอาไว้ด้วย
ความจริงฉันก็อยากจะบอกคำผวนที่เป็นคำศัพท์ธรรด้า
ธรรมดาที่มีใช้กันอยู่ทั่วไป
เป็นวิทยาทานให้ท่านได้เก็บไปคิดเอาว่าท่านเคยได้ใช้คำศัพท์เหล่านี้มาบ้างหรือไม่แต่ก็เกรงว่าจะเป็นการไม่สุภาพ
ดีไม่ดีจะถูกกล่าวหาว่า
เป็นครูอะไร
พูดไม่เพราะถ้าเป็นนักเรียน
พูดอย่างนี้ต้องตี
ประโยคนี้ขอร้องไม่ต้องลองผวนกลับหรอกเพราะไม่ใช่ตั้งใจให้ผวน
แต่อย่างไรก็ตามเสน่ห์ของภาษา
อันเนื่องมาจากคุณสมบัติในการผวนคำนั้นนอกจากจะเป็นสิ่งที่ทำให้ภาษามีอรรถรสแล้ว
ยังทำให้เกิดการท้าทายในการคิดที่จะหาคำศัพท์ที่เมื่อนำมาจัดคำแล้วให้ได้ในความหมายที่ต้องการทั้งสองด้าน
และเนื่องจากภาษาเป็นสิ่งที่มีชึวิต
จึงเหมือนกับมีเพื่อนเล่นที่สามารถให้ความบันเทิงอารมณ์ได้เป็นอย่างดี
ถ้าไม่เชื่อลองนำมาคิดเล่น
ๆในยามเครียดซี
แล้วคุณจะแปลกใจว่าคำผวนมีคุณสมบัติที่ทำให้เกิดความเพลิดเพลินในอารมณ์
คลายเครียดได้เหมือนกันแฮะ
|