ทำอะไรแบบไหนคนไทยไม่ชอบ
ท่านผู้บังเอิญที่ได้เข้ามาในเวปนี้
ผู้เขียนขอเล่าแจ้งแถลงเขียนว่าถ้าท่านอ่านไปงงไปและนึกถามผู้เขียนว่าผู้เขียนต้องการอะไร
(วะ)
ก็บอกได้เลยว่า
ไม่ต้องการอะไร
ท่านอ่านแล้วอยากได้อะไรก็เชิญตีความได้ตามสบาย
สมัยนี้ต้องอาศัยการตีความ
คนไทยตีความกันเก่ง
ๆ
ทั้งนั้น
ประชุมกันที
ก็ตีความกันทั้งวัน
(จนสรุปไม่ได้)
กล่าวหากันทั้งปี
ร้องเรียนกันทุกชั่วโมง
ฟ้องร้องกันทุกนาที
สำนวนล้นประเทศไปแล้ว
เอาละนะ
ในช่วงระยะเวลา
5-6
ปีที่ผ่านมานี้
ประเทศไทย
ได้รับผลกระทบจากกระแสการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากระบบเทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งความจริงแล้วถ้าไม่ถูกกระทบอย่างแรง
ประเทศไทยก็คงจะยังชวนกันเชื่องช้า
อาจถึงขั้นที่ทางพระเรียกว่า
ปลุกไม่ตื่น
ฟื้นไม่มี
หนีไม่พ้น
คือ
ตาย
นั่นเอง
ผลกระทบเหล่านี้ทำให้เกิดกระบวนการปรับเปลี่ยนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นั่นคือการลุกขึ้นมาบริหารจัดการแบบมีเป้าหมายและแผนงานอย่างเป็นรูปธรรมตามลำดับขั้นตอน
ที่ทำให้คาดการณ์ผลลัพธ์ได้
มีการวางกลยุทธ์เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ตามเป้าหมาย
มีการวิเคราะห์ผลดำเนินการเพื่อปรับยุทธศาสตร์
มีการประเมินกันอย่างละเอียด
แถมยังมีการให้รางวัลเสียด้วย
ทำครบกระบวนการตามตำราฝรั่งว่างั้นเถอะ
ก็เลยอยากจะเขียนถึงพฤติกรรมคัน
ๆ
มัน
ๆ
ที่เกิดขึ้นมาตามกระแสสักหน่อย
และต้องขอออกตัวด้วยว่า
ไม่ได้ว่าใคร
คงจะเป็นที่รู้
ๆ
กันแล้วว่าคนไทย
ไม่ชอบทำอะไรแบบรุก
แบบเร่ง
แบบร่วมมือ
แบบมีระเบียบ
แบบรวบรวม
แบบเรียบเรียง
และแบบรายงาน
จึงรู้สึกโกรธมาก
(ไม่รู้โกรธใคร)
ที่มาทำให้ชีวิตที่เรียบง่ายของคนไทยลุกฮือเป็นไฟ
ก็เพราะ
3
ข้อแรกนั้นมันมาพลิกผันการดำเนินชีวิตที่เป็นลักษณะนิสัยโดยแท้ของพวกเราที่
มักจะค่อย
ๆ
ลุก
ค่อย
ๆ
คืบ
กระดื้บ
ๆ
และค่อย
ๆ
คลาน
ด้วยมองเห็นว่า
ช้าเป็นงาน
นานเป็นคุณ
และถ้าทำ
ช้า
ๆ
ก็จะได้พร้าเล่มงาม
จะลุกขึ้นทำให้เหนื่อยทำไม
เร่งรุกไปก็ได้แค่สองไพเบี้ยถ้านิ่งเฉยเสียก็จะได้ตำลึงทอง
หรือถ้าเจ๋งหน่อยก็ต้องทำตัวต่อต้านเพราะ
ไม่ทำไม่ผิด
ผิดเพราะเสือกทำ
ยิ่งถ้ามาเร่งด้วยแล้ว
ก็จะไม่ทำเลย
ความจริงพวกเรารู้ว่า
รวมกันเราอยู่
แยกหมู่เราเดี้ยง
แต่เราก็จะรวมกันเฉพาะเรื่อง
กิน
เล่น
เต้น
คุย
เพื่อไม่ให้งานเหล่านี้เดี้ยง
และอีกอย่างหนึ่งเรายึดคำสอนที่ฮิตติดปากว่า
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
ตัวใครตัวมัน
นอกจากนี้ยังมีคำกล่าวว่า
ทีเองข้าไม่ว่า
ทีข้าเองอย่าเสือก
เซมากูเตะ
ก็เลยทำงานเป็นทีมยาก
ส่วนอีก
4
ข้อหลังนั้นเป็นเพราะคนไทยไม่ชอบมาก
ๆ
ไม่ชอบระเบียบเพราะมันทำให้
ทำอะไรตามใจคือไทยแท้ไม่ได้
จะเห็นว่าพวกเราจะไม่ยอมเข้าแถวเข้าคิว
ไม่ยอมใส่หมวกกันน็อค
(หัวกู
ยุ่งอะไรด้วย)
ไม่ยอมเดินข้ามถนนตรงทางม้าลาย
ไม่ยอมขับรถตามเลนที่กำหนด
เรียกว่าไม่เคารพกฎหมายจลาจร
มีคนบอกว่า
พ่อแม่ยังไม่อยากจะเคารพแล้วจลาจรเป็นใครจะมาตั้งกฏให้พวกเราเคารพ
เมินเสียเถอะ
แล้วความไม่มีระเบียบน่ะทำง่ายกว่ามีระเบียบนะ
ก็ต้องเข้าใจ
อย่ามาว่าแต่พวกเรา
ใครมาบ้านเมืองเราเขายังชอบทำเหมือนเราเลย
เขาต้องรีบทำเพราะกลับไปจะไม่มีโอกาสได้ทำตามสบายแบบนี้
ส่วนที่ไม่ชอบทำงานแบบรวบรวมข้อมูลเพราะเป็นคนทำแล้วทิ้ง
(ไม่เกี่ยวกับ
ทีทับไม่ร้องที่ท้องจะให้รับนะ
ขอบอก)
อาจจะเป็นผลมาจากทำอะไรก็ง่ายไปหมดก็เลยไม่รู้จะรวบรวมได้อย่างไร
ความคิดมันกระเจิดกระเจิง
ไร้ทิศทาง
ถ้าจดบันทึกก็จะรู้ว่าเราทำมั่ว
ก็เลยทำเป็นลืมจด
ให้เขาคิดว่าเราเป็นประเภท
ได้หน้าลืมหลัง
ดีกว่า
จะได้รวบรวมแบบสะเปะสะปะ
ต่อไม่ติด
แล้วจะให้นำมา
บูร
อีกด้วย
ก็เลยต้องทำแบบนี้แหละ
คำว่า
บูร
นี้ก็แปลกไม่ยังกะถือกำเนิดในพจนานุกรมสักที
พิมพ์คอมทีไรก็มีขีดเส้นแดงชี้ว่าเขียนผิดทุกที
คนไทยจึงเกลียดการบูร
เพราะทำทีไรก็ผิดทุกที
เราสอนคนให้ทำความดีอย่าทำชั่ว
คนที่
รักดีหามจั่ว
คนที่
รักชั่วหามเสา
แต่ก็
มีข้อแย้งว่าควร
เดินสายกลาง
คนไทยงง
เลยถือโอกาสเลือก
ไม่รักดีและไม่รักชั่ว
เพราะจะได้ไม่ต้องหามทั้งจั่วและเสา
ส่วนข้อที่ว่าทำไมคนไทยไม่ชอบการเรียบเรียง
มีเหตุผลอยู่
2
ประการ
คือ
มันเรียบเรียงไม่ได้
เพราะจับต้นชนปลายไม่ถูก
มีข้อมูลเท่าไรก็อยากจะแสดงให้หมด
เกิดเป็นข้อมูลที่ล้นหลาม
จนสำลักข้อมูล
ถูกข้อมูลล้มทับจนมองวัตุประสงค์และประโยชน์ของข้อมูลที่สำคัญและจำเป็นไม่เห็น
คนอ่านก็ไม่เข้าใจ
คนทำก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
ดูแต่วิจัยบางเรื่องนั่นปะไร
เล่มตั้งใหญ่
อ่านแล้วมึนไม่รู้ว่าต้องการอะไร
มีข้อมูลปะแปะ
อย่าว่าแต่จะเอาไปใช้ประโยชน์เลย
หาตรรกะของความคิดยังไม่ค่อยได้
คนอ่านต้องบูร
เอาเอง
ตามใจชอบ
จึงมีคนแนะนำว่าให้อ่านไปเอียงสมองไป
และวิจัยประเภทนี้มักจะเป็นงานวิจัยของมหาวิทยาลัยหรืออาจารย์ที่มีชื่อเสียง
เป็นที่การันตีในวงวิชาการ
การเขียนวิจัยให้รู้เรื่องก็ไม่เจ๋งน่ะซี
ถ้าคนอ่านอ่านไม่รู้เรื่อง
คนอ่านนั่นแหละโง่
วิจัยเขาทำเพื่อให้คนที่มีระดับความฉลาดเท่าเทียมกันอ่าน
ดังนั้นเพื่อปกปิดความโง่ของตัวเอง
คนอ่านก็เลยต้องชมว่างานวิจัยนั้นเป็นวิจัยที่มีข้อมูลล้ำลึก
มหัศจรรย์มาก
เอาข้อมูลมาวิเคราะห์บูรกับวัตถุประสงค์และประโยชน์ของงานวิจัยจนเง็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประการที่
2
เกิดจากความคิดที่ว่า
การเรียบเรียงดี
มันทำให้คนข้างหลังทำตามได้ง่าย
เดี๋ยวมันก็ขี้โกงเอาไปเป็นผลงานของตัว
เนื่องจากหลักฐานถูกลบเลือนไปว่าใครเคยทำมาบ้าง
ขนาดทำนาในเมืองไทย
พันธุ์ข้าวก็ของเมืองไทย
กินก็กินกันในเมืองไทย
แค่พอเราส่งข้าวไปให้พวกฝรั่งกิน
ข้าวก็เลยได้ซิติเซ่นได้เป็นพลเมืองของเขาไปฉิบ
มีการจดสิทธิบัตรเรียบร้อยโรงเรียนฝรั่ง
จะฟ้องร้องก็ต้องมาถามข้าวก่อนว่าจะอยู่กับใคร
แล้วต้องพูดภาษาของไอนะ
(ทำไมต้องใช้แต่ภาษายูล่ะ)
และถ้าพูดไม่เคลียร์ทนายของไอฟังไม่รู้เรื่อง
ไอก็ชนะ
เพราะไอถือไพ่เหนือกว่า
ของของใครแต่ไอไม่สน
ของใครใครก็ดิ้นรน
มาวิ่งมาชนมาทวงเอาเอง
และอีกอย่างหนึ่งก็คือ
ด้านได้อายอด
ไม่ใช่หรือ
ส่วนการรายงานนั้น
สำหรับสาเหตุที่ไม่ชอบแถมยังโกรธถ้าให้มีการรายงานก็เพราะไม่รู้จะรายงานว่าอะไร
รายงานอย่างไร
เพราะทำแบบเล่น
ๆ
ไปอย่างนั้นเอง
ก็เห็นบอกว่า
ท้องถิ่นเป็นอิสระ
ทำได้ก็ทำไป
ทำไม่ได้ก็ทิ้งไป
ได้ผลแค่ไหนไม่เกี่ยวกับใคร
เมื่อเริ่มทำพวกเราได้สร้างจุดประสงค์เอาไว้ว่าจะทำ
แต่ผลออกมาเป็นอย่างไรพวกเราไม่ได้สร้างจุดประสงค์ไว้ว่าจะให้ได้อะไร
การรายงานจึงไม่เกี่ยวกับพวกเรา
และพวกเราก็ไม่เกี่ยวกับรายงาน
นอกจากนี้พวกเรายังมีความคิดเห็นที่สอดคล้องที่ต้องเสนอแนะแกมสั่งสอนว่า
การทำบุญนั้นต้องไม่หวังสิ่งตอบแทน
ต้องหวังเพียงแค่ให้เท่านั้น
ถ้าหวังสิ่งตอบแทนแล้วจะไม่ได้บุญ
ดูตัวอย่างพวกเราซี
มีผลงานที่ไม่หวังผลตอบแทนมากมาย
ทั้งสิ่งก่อสร้าง
ถนนหนทาง
บ่อน้ำ
สาธารณูปโภค
ศูนย์สินค้า
โอท็อป
และอื่น
ๆ
ที่สร้างแล้วทิ้ง
สร้างแล้วร้าง
สร้างแล้วพัง
สร้างแล้วรก
สร้างแล้วเป็นปัญหาต้องกลบหรือสร้างแล้วต้องทุบ
สร้างแล้วต้องทำลายไปเรื่อย
ๆ
ผู้บริหารเองก็เถอะถ้าไม่ลื้อโครงการที่ไม่ใช่กูคิดก็ไม่ใช่ผู้บริหารเมืองไทยซิ
จริงมะ
ดังนั้นขอให้คิดว่าถ้าสิ่งที่สร้างเกิดใช้งานได้ก็ถือว่าเป็นบุญ
แต่ถ้าใช้ไม่ได้ก็ถือว่าได้ทำบุญ
เห็นไหมว่าได้บุญทั้งขึ้นทั้งล่อง
ขอได้โปรดหัดคิดดี
ๆ
เสียบ้าง
คราวนี้ลองมาบูรถึงความคิดที่มองคนละมุมของคนสองกลุ่มแต่ชาติเดียวกันบ้าง
ความจริงแล้วจะพบว่ามีโครงการต่าง
ๆ
ของรัฐที่อยากช่วยประชาชนชาวบ้านให้อยู่ดีกินดีมากมายนับไม่ถ้วน
แต่ก็มีโครงการของประชาชนชาวบ้านที่อยากเบี้ยวรัฐผุดขึ้นมามากมายเช่นกัน
แล้วแต่ว่าใครจะเสียรู้ใครมากกว่ากัน
ดังนั้นพอรัฐบอกว่ามาขอตรวจผลงานที่ให้ทำหน่อย
ประชาชนชาวบ้านก็เริ่มกล่าวหาว่ารังแกคนความรู้น้อยรู้
คนรู้เท่าไม่ถึงการณ์
คนด้อยโอกาส
คนจน
คนรากหญ้า
คนจิปาถะที่รัฐต้องเข้าใจลูกเดียว
สิ่งที่รัฐควรสนใจประชาชนชาวบ้านมากกว่า
คือ
การไปทำประกันให้ทุกคนทุกอย่างตั้งแต่เกิดจนตาย
ตัวอย่างสิ่งที่ต้องประกัน
ได้แก่
ประกันที่ทำกิน
ประกันการได้กิน
ประกันผลผลิตที่อยู่บนที่ทำกิน
และต้องประกันความเป็นอยู่
เช่น
บ้านอยู่อาศัย
โรคภัยไข้เจ็บ
คลอดลูก
เลี้ยงดูลูกให้ในวัยเด็กเล็ก
ส่งลูกเรียนในวัยเรียน
ประกันให้เรียนให้จบ
ประกันเด็กฆ่าตัวตายเพราะเรียนไม่ได้ด้วย
ไม่งั้นรัฐนั่นแหละเป็นคนผิด
อยากเสือกส่งให้ไปเรียนเมืองนอกโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ
เมื่อเรียนจบแล้วก็ต้องประกันงานประกันเงินให้ด้วย
และอย่าได้มามีข้อผูกมัดเงื่อนไขใด
ๆ
กับสิ่งที่ประกันให้นี้นะ
ถ้ารัฐไม่ประกันสิ่งเหล่านี้ตามคำเรียกร้อง
พวกเราก็จำเป็นต้องรับงานเดินขบวนร้องเรียนต่าง
ๆ
เกี่ยวกับเรื่องต่าง
ๆ
ตามฤดูกาล
เช่น
ฝนตกน้ำท่วม
ฝนแล้งน้ำหมด
ผลไม้ล้นตลาด
น้ำตาลขาดแคลน
สินค้าขึ้นราคา
ฯลฯ
มันมีเรื่องให้พวกเราทำเยอะไปหมด
ถ้าหาเรื่องจนหมดแล้วก็หันมากล่าวโทษ
พวกข้าราชการแบบเหมาจ่าย
ว่า
เป็นขี้ข้านักการเมือง
ทำงานเช้าชามเย็นชาม
ชอบตรวจสอบประชาชนชาวบ้าน
ขออะไรก็งบไม่มี
ไม่รู้จักโยกงบให้ประชาชน
ฯลฯ
ฉะนั้นจึงต้องขอตรวจสอบด้วยม๊อบ
ครับผม
ส่วนข้าราชการก็รู้
ๆ
อยู่
นายไม่อยู่หนูร่าเริง
นายอยู่หนูเครียด
ถึงเวลาไม่ให้หนูสองขั้น
น่าดู
อย่าหาว่าไม่เตือน
เดี๋ยวนี้นายต้องบริหารแบบแนวราบ
จะมาสั่ง
ๆ
โดยไม่ให้ออกความคิดเห็นว่าจะทำหรือไม่ทำ
ไม่ได้แล้วครับ
เจ้านาย
ความจริงแล้วประชาชนแบบพวกเราไม่อยากตั้งม๊อบขึ้นมาหรอก
ถ้ารัฐให้ความจริงใจ
รัฐให้อิสระในการทำโครงการตามใจชอบของท้องถิ่นอย่างเต็มร้อย
พอให้เงินอุดหนุนมาก็ไม่ต้องมากะเกณฑ์ว่าให้ทำตามโครงการที่ได้ขอไป
น่าจะให้ท้องถิ่นได้มีโอกาสเปลี่ยนแปลงโครงการได้ตามความพอใจ
ไม่ต้องให้มาปรึกษาพูดคุยกันอีก
ต้องให้อิสระพวกเรา
ดูอย่างพวกเราชาวบ้านเป็นตัวอย่างซี
ลูกหลานเราทำโครงการขอเรียนหนังสือ
เราก็อนุมัติโดยดี
พอให้เงินงบประมาณไปเสียค่าเล่าเรียนมันเอาไปเที่ยวเทค
ซื้อมือถือ
เรายังให้อิสระมันทำได้เลย
ไม่เคยให้ต้องมาขอเปลี่ยนแปลงโครงการให้เสียเวล่ำเวลา
คนเราต้องเห็นใจกัน
ให้ความรักความอบอุ่น
พูดดี
ๆ
อย่าดุ
อย่าว่า
อย่าตี
แล้วลูกหลานก็จะดีเอง
และอีกอย่างหนึ่งโครงการก็ยังอยู่ไม่หายไปไหนจะทำเมื่อไหร่ก็ได้
พวกเราเชื่อในทฤษฎีว่าคนเราทุกคนอยากเป็นคนดีด้วยกันทั้งนั้น
ทั้งหมดทั้งปวงนี้ต้องนำมาสร้างเป็นวิสัยทัศน์ในด้านคุณภาพนิสัยของรัฐ
จะได้จนเข้าหากันท้องถิ่นได้ง่าย
ๆ
หรือถ้าจะให้ดีก็ต้องโยงให้ไกลไปให้ถึงเรื่องของการจัดศึกษา
เพราะมีหลายฝ่ายต่างเรียกร้องให้ปฏิรูปครู
นักการภารโรง
หลักสูตรและอื่น
ๆ
ในโรงเรียน
เพราะบอกว่าทำให้คนไทยคิดไม่เป็น
แล้วไอ้คนที่คิดเป็นมันเรียนกับใคร
(วะ)
มีปราชญ์ชาวบ้านท่านหนึ่งกล่าวโทษการเรียนการสอนในวิทยาลัยครูว่าสอนให้ท่านเป็นครูอย่างเดียว
แต่ไม่เคยได้สอนให้ท่านทำไวน์หรือทำผลิตภัณฑ์ต่าง
ๆ
ที่ท่านทำอยู่นี้เลย
ท่านเป็นปราชญ์ได้เพราะท่านคิดเอง
ทำเอง
ค้นเอง
คว้าเอง
ได้รับการยกย่องเป็นปราชญ์ด้วยตัวของตัวเองโดยแท้
ความจริงท่านปราชญ์ผู้ทรงเกียรติคงลืมไปว่า
ความคิดที่ต่อเนื่องได้นั้นเกิดจากพื้นฐานการจัดการเรียนการสอนที่ครูผู้ประเสริฐของท่านทั้งหลายช่วยกันปั้นแต่งให้ท่านซึมซับจนเป็นปราชญ์ที่
คิดเป็น
ทำเป็น
ได้ในตอนนี้ไง
แล้วท่านจะไม่ยกย่องให้เครดิตกับครูของท่านเลยหรือ
น่าสงสารครูเหล่านั้นจัง
จริงอยู่คงต้องมีการปรับเปลี่ยนการจัดการเรียนการสอนให้เหมาะกับยุคสมัย
แต่การสอนของท่านเหล่านั้นคงไม่เลวหรอกเพราะมีคนได้ดีเพราะครูเก่าแก่โบราณรุ่นเดะมากมายหลายคน
นี่ไม่ได้ด่านะบอกเสียก่อน
รักดอกจึงบอกให้
ไม่มีนอกมีใน
เป็นคนตรง
รู้มาก็เล่าไป
พวกเราอีกหลายคนก็ชอบแสวงหาข้อมูลเหมือนกัน
ขนาดก่อนสอบท่องหนังสือมาอย่างดี
จำ
พ.ศ.
ที่เป็นปีของสงคราม
ประเภทต่าง
ๆ
ได้หมด
แต่นิสัยชอบสอดรู้สอดเห็น
พวกเรายังเอาสายตา
ซูม
เพื่อดูคำตอบเพื่อน
(พวกเราทำมาก่อนที่พวกนั้นทำตอนเลือกตั้งเสียอีก)
พอเห็นเพื่อนตอบไม่เหมือนกับพวกเรา
พวกเรายังยอมแก้ไขให้ผิดเหมือนเพื่อนเลย
ก็รักเพื่อนไง
สอบตกจะได้ตกด้วยกัน
สงสารเพื่อนกลัวมันตกคนเดียว
และถ้าเพื่อนมาเล่าให้ฟังว่า
“อ้ายตี๋มันหิน
มันไม่ยอมให้กูลอก”
ละก็
อ้ายตี๋มีหวังโดนรุมขวิด
รุมตื้บ
แทบคอหักแน่
สุดท้ายนี้ผู้เขียนขอร้องว่า
กรุณาอ่านแล้วทำใจให้สนุกนะ
เพราะเราเป็นคนไทยใจชอบสนุก
อะไร
ๆ
ต้องสนุกมาก่อน
มีม๊อบยังมีดนตรี
มีเวทีปราศรัยก็ต้องมีโขน
ถ้าไม่สนุกกลับบ้านเสียนานแล้ว
ดังนั้นการโฆษณาชักชวนก็ต้องบอกว่ามีการเล่นมโหรสพควบคู่ไปด้วย
พวกเราชอบสนุกไม่เว้นแม้แต่เรื่องวิชาการ
ยังมีคนมาโทษกล่าวหาว่าครูไม่รู้จักสอนให้สนุก
ไม่ให้นักเรียนเล่นปนเรียน
บรรยายก็ไม่สนุก
นักเรียนไม่หัวเราะ
ไม่ขำที่ครูสอน
ก็เลยสรุปว่า
ต้องปฏิรูปครูเหล่านี้ที่ทำให้นักเรียนเบื่อ
นักเรียนก็เลยหนีไปเรียนกับครูนอกสาระบบโรงเรียนด้วยเหตุผลว่าเขาสอนสนุกกว่าและแถมเวลาจ่ายค่าสอนผู้ปกครองก็มันมือสนุกไปด้วยอีกต่างหาก
ยังมีคนแนะนำผู้เขียนว่าควรต้องไปเรียนวิธีการเล่นตลกจะได้รุ่งเรืองในอาชีพครู
ก็ต้องขอบคุณที่ชี้แนะ
อาชีพของใครก็ต้องมีทักษะความรู้ความสามารถในอาชีพนั้นเป็นการเฉพาะ
คนเป็นครูและคนเป็นตลกก็คงต้องมีความแตกต่างกันไป
ถ้าอยากมีอาชีพเป็นนักตลกคงไม่ตั้งใจเรียนจนจบดอกเตอร์ทางการศึกษา
แล้วมารับใช้ชาติด้วยการเลือกอาชีพครูเป็นแน่
ความจริงแล้วการจัดการเรียนการสอนนั้นมีองค์ประกอบหลายประการรวมทั้งองค์ประกอบในตัวผู้เรียนด้วย
การปฏิรูปจึงต้องเน้นผู้เรียนด้วยเช่นกัน
ถ้าท่านอ่านแล้วเกิดความคิดบางอย่างละก็
ขอให้คิดเพิ่มให้ลึกลงไปว่า
เราทำให้บ้านเมืองของเรารกรุงรังไปหมดทั้งกายภาพและจิตใจหรือเปล่า
เราคิดกันคนละอย่าง
ขวางกันคนละที
ตีกันคนละมุม
รุมกันจนเละตุ้มเปะกันไปทั้งประเทศใช่ไหม
แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าเครียดจนต้องมีรายการ
คลายเครียด
เพื่อ
ให้
ฮา
กันได้ทั้งวัน
อะไรจะขาดสาระประมาณนั้น
|